วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565

มหิฬามุขชาตกํ - ว่าด้วยการเสี้ยมสอน

มหิฬามุขชาตกํ - ว่าด้วยการเสี้ยมสอน

ปุราณโจราน  วโจ  นิสมฺม, 
มหิฬามุโข  โปถยมนฺวจารี;
สุสญฺญตานญฺหิ  วโจ  นิสมฺม,
คชุตฺตโม  สพฺพคุเณสุ  อฏฺฐาติ ฯ

"พระยาช้างชื่อมหิฬามุข ได้เที่ยวทุบตีคน เพราะได้พึงฟังคำของพวกโจรมาก่อน, 
พระยาช้างผู้เชือกอุดมตั้งอยู่ในคุณทั้งปวง ก็เพราะได้ฟังคำของท่านผู้สำรวมดีแล้ว."

มหิฬามุขชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวันทรงปรารภพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า  โปราณโจราน  วโจ  นิสมฺม  ดังนี้ 

ความพิศดารว่า พระเทวทัตทำให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสแล้ว ยังลาภสักการะให้เกิดขึ้น อชาตศัตรูกุมารให้สร้างวิหารที่ตำบลคยาสีสะเพื่อพระเทวทัตแล้วนำไปเฉพาะโภชนะข้าวสาลีมีกลิ่นหอมซึ่งเก็บไว้ ๓ ปี วันละ ๕๐๐ สำรับ โดยรสเลิศต่างๆ เพราะอาศัยลาภสักการะ. บริวารของพระเทวทัตจึงใหญ่ขึ้น พระเทวทัตพร้อมทั้งบริวารอยู่ในวิหารนั่นแหละ. 

สมัยนั้น มีสหาย ๒ คนผู้เป็นชาวเมืองราชคฤห์ ในสองสหายนั้น คนหนึ่งบวชในสำนักของพระศาสดา, คนหนึ่งบวชในสำนักของพระเทวทัต, สหายทั้งสองนั้นย่อมเห็นกันและกันแม้ในที่นั้น ๆ แม้ไปวิหารก็ยังเห็นกัน. 

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นนิสิต ของพระเทวทัตกล่าวกะภิกษุนอกนี้ว่า „ผู้มีอายุ ท่านจะเที่ยวบิณฑบาตมีเหงื่อไหลอยู่ทุกวัน ๆทำไม?, ท่านนั่งในวิหารที่ตำบลคยาสีสะเท่านั้น จะได้บริโภคโภชนะดีด้วยรสเลิศต่างๆ, ข้าวปายาสเห็นปานนี้ไม่มีในวิหารนี้, ท่านจะมัวเสวยทุกข์อยู่ทำไม? ประโยชน์อะไร แก่ท่านการมายังคยาสีสะแต่เช้าตรู่แล้วดื่มข้าวยาคูพร้อมด้วยแกงอ่อม เคี้ยวของควรเคี้ยว ๑๘ ชนิดแล้วบริโภคโภชนะดีด้วยรสเลิศต่าง ๆไม่ควรหรือ?“.

 ภิกษุนั้นถูกพูดบ่อย ๆ เป็นผู้ประสงค์จะไป จำเดิมแต่นั้น จึงไปยังคยาสีสะบริโภคแล้วก็มายังพระเวฬุวันต่อเมื่อเวลาสาย ภิกษุนั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้ตลอดไป ไม่ช้านัก ข่าวก็ปรากฏว่า ภิกษุนั้นไปคยาสีสะบริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากพระเทวทัต. 

ลำดับนั้น สหายทั้งหลายพากันถามภิกษุนั้นว่า „ผู้มีอายุ ได้ยินว่า ท่านบริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากแก่พระเทวทัตจริงหรือ ?“. 

ภิกษุนั้นกล่าวว่า „ใครกล่าวอย่างนี้“ สหายเหล่านั้นกล่าวว่า „คนโน้นและคนโน้นกล่าว" ภิกษุนั้นกล่าวว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไปยังคยาสีสะบริโภคจริง, แต่พระเทวทัตไม่ได้ให้ภัตแก่ผม คนอื่น ๆให้". 

ภิกษุผู้สหายกล่าวว่า „ผู้มีอายุพระเทวทัตเป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธเจ้า เป็นผู้ทุศีล ยังพระเจ้าอชาตศัตรูให้เลื่อมใสแล้วยังลาภสักการะให้เกิดแก่คนโดยไม่ชอบธรรม, ท่านบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตโดยไม่ชอบธรรมเลย, มาเถอะ เราทั้งหลายจักน้ำท่านไปยังสำนักของพระศาสดา“, แล้วพาภิกษุนั้นมายังโรงธรรมสภา. 

พระศาสดาพอทรงเห็นภิกษุนั้นเท่านั้นจึงตรัสถามว่า „ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุนี้ ผู้ไม่ปรารถนา มาแล้วหรือ ?" ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า „พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้บวชในสำนักของพระองค์แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้นแก่พระเทวทัต โดยไม่ชอบธรรม“ 

พระศาสดาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอบริโภคโภชนะอันเกิดแก่พระเทวทัต โดยไม่ชอบธรรมจริงหรือ ?“ ภิกษุนั้นกราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัต ไม่ได้ให้ภัตแก่ข้าพระองค์คนอื่น ๆให้แก่ข้าพระองค์, ข้าพระองค์จึงบริโภคภัตนั้น" 

พระศาสดาตรัสว่า „ภิกษุ เธออย่ากระทำการหลีกเลี้ยงในเรื่องนี้, พระเทวทัตเป็นผู้ไม่มีอาจาระเป็นผู้ทุศีล เธอบวชในศาสนานี้แล้ว คบหาศาสนาของเราอยู่นั้นแล ยังบริโภคภัตของพระเทวทัตได้อย่างไรเล่า? เธอมีปกติคบหาอยู่แม้เป็นนิคยกาล ก็ยังคบหาพวกคนที่เห็นแล้ว ๆ“, ครั้นตรัสแล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ :- 

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตนั้น. 

ในกาลนั้น ช้างมงคลของพระเจ้าพรหมทัตชื่อว่ามหิลามุข เป็นช้างมีศีล สมบูรณ์ด้วยอาจาระมารยาทไม่เบียดเบียนใครๆ. 

อยู่มาวันหนึ่ง โจรทั้งหลายมา ณ ที่ใกล้โรงช้างนั้น ในลำดับกาลอันเป็นส่วนราตรี นั่งปรึกษาการลักอยู่ในที่ไม่ไกลช้างนั้นว่า „ต้องทำลายอุโมงค์อย่างนี้ ต้องกระทำการตัดช่องย่องเบาอย่างนี้ การกระทำอุโมงค์และการตัดช่องย่องเบาให้ปราศจากรกชัฏ ให้ปราศจากพุ่มไม้ เช่นกับหนทางเช่นกับท่าน้ำแล้วลักเอาสิ่งของไปจึงจะควร บุคคลผู้เมื่อจะลัก ต้องฆ่าและต้องประหารแล้วจึงลัก เมื่อเป็นอย่างนี้ชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะลุกขึ้น (ต่อสู้)จักไม่มีอันธรรมดาว่า โจรต้องเป็นผู้ไม่ประกอบด้วยศีลและอาจาระ, ต้องเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า ป่าเถื่อน“ ครั้นปรึกษากันอย่างนี้แล้วจึงให้กันและกันเรียนเอาแล้วได้พากันไป. พวกโจรพากันมาปรึกษาในที่นั้น โดยนัยนี้นั่นแหละหลายวัน คือ แม้ในวันรุ่งขึ้น แม้ในวันรุ่งขึ้น. 

ช้างได้ฟังคำของโจรเหล่านั้นสำคัญว่า „ให้เราสำเหนียก, จึงคิดว่า บัดนี้ เราต้องเป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า ป่าเถื่อน“,  จึงได้เป็นผู้เห็นปานนั้น เอางวงจับคนเลี้ยงช้างผู้มาแต่เช้าตรู่ฟาดที่ พื้นดินให้ตาย ฆ่าคนที่มาแล้ว ๆ คือ แม้คนหนึ่งๆ. พวกราชบุรุษจึงกราบทูล แด่พระราชาว่า „ช้างมหิลามุขเป็นบ้า ฆ่าคนที่พบเห็นแล้ว ๆพระเจ้าข้า“.

พระราชาทรงส่งพระโพธิสัตว์ไปด้วยพระดำรัสว่า „ดูก่อนบัณฑิต เธอจงไป จงรู้ว่า ช้างนั้น ดุร้าย เพราะเหตุไร?“.

พระโพธิสัตว์ไปแล้วรู้ว่า ช้างนั้นไม่มีโรคในร่างกายจึงคิดว่า เพราะเหตุไรหนอ ? ช้างนี้จึงเกิดเป็นช้างดุร้าย เมื่อใคร่ครวญไปจึงสันนิษฐานว่า ช้างนี้ได้ฟังคำของใครๆ ในที่ไม่ไกล สำคัญว่า คนเหล่านี้ให้เราสำเหนียก จึงเป็นช้างดุร้ายแน่นอน“, จึงถามพวกคนเลี้ยงช้างว่า „คนบางพวกเคยกล่าวคำอะไรในตอนกลางคืน ณ ที่ใกล้ช้าง มีอยู่หรือหนอ ?“,  พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า „ขอรับ นาย พวกโจรพากันมากล่าว“.

พระโพธิสัตว์จึงไปกราบทูลแด่พระราชาว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ความพิการไม่มีในร่างกายแห่งช้างของหลวงช้างนั้นเกิดเป็นช้างดุร้าย เพราะได้พึงถ้อยคำของพวกโจรพะยะค่ะ".

พระราชาตรัสถามว่า "บัดนี้ควรจะทำอย่างไร ?“ 

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า „นิมนต์สมณพราหมณ์ผู้มีศีลให้นั่งในโรงช้างแล้วกล่าวถึงศีลและอาจาระ จงจะควรพะยะค่ะ“, พระราชาตรัสว่า „จงการทำอย่างนั้นเถิด พ่อ“.

พระโพธิสัตว์จึงนิมนต์สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีลไห้นั่งในโรงช้างแล้วกล่าวว่า „ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงกล่าวศีลกถาว่า ด้วยเรื่องศีล“,  สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่งในที่ไม่ไกลช้าง พากันกล่าวศีลกถาว่า „ไม่พึงปรามาสจับต้อง ไม่พึงด่าใคร ๆ ควรเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้ประกอบด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดู“, ช้างนั้นได้ฟังดังนั้นคิดว่า „สมณพราหมณ์เหล่านี้ให้เราศึกษาสำเหนียกจำเดิมแต่บัดนี้ไป เราควรเป็นผู้มีศีล“, พระราชาตรัสถามว่า „ช้างได้เป็นผู้มีศีลแล้วหรือ ?“ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ“, พระราชาตรัสว่า „ช้างดุร้ายชื่อเห็นปานนี้ อาศัยบัณฑิตทั้งหลายจึงตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นของเก่าได้“, แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า :- 

„พระยาช้างชื่อมหิลามุขได้เที่ยวทุบตีคนเพราะได้ฟังคำของพวกโจรมาก่อน, พระยาช้างผู้อุดมตั้งอยู่ ในคุณทั้งปวง ก็เพราะได้ฟังคำของท่านผู้สำรวมดีแล้ว“.

ก็เพราะได้ฟังคำของท่านผู้สำรวมดีแล้ว  บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  โปราณโจรานํ ได้แก่ พวกโจรรุ่นเก่าก่อน บทว่า นิสมฺมได้แก่ เพราะฟัง อธิบายว่า เพราะได้ฟังคำของพวกโจรมาก่อน. 

บทว่า  มหิลามุโข  แปลว่า มีหน้าเช่นกับหน้าช้างพังอีกอย่างหนึ่ง. ช้างพังเมื่อแลดูข้างหน้าจึงจะงามแลดูข้างหลังไม่งาม ฉันใด ช้างแม้นั้นก็ฉันนั้น เมื่อแลดูข้างหน้าจึงจะงาม เพราะฉะนั้น ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อช้างนั้นว่า มหิลามุข. 

บทว่า  โปถยมานุจารี  ความว่า เที่ยวติดตามโบยอยู่ คือ ฆ่าอยู่อีกอย่างหนึ่งพระบาลีก็อย่างนี้แหละ. 

บทว่า  สุสญฺญตานํ  ได้แก่ ผู้สำรวมด้วยดี คือมีศีล. 

บทว่า  คชุตฺตโม  ได้แก่ ช้างอุดม คือ ช้างมงคล. 

บทว่า  สพฺพคุเณสุ  อฏฺฐ  ได้แก่ ตั้งอยู่เฉพาะในคุณเก่าทั้งปวง.

พระราชาทรงพระดำริว่า „พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยแม้ของสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย“ จึงได้พระราชทานยศใหญ่ให้ พระราชานั้นทรงดำรงอยู่ตราบชั่วพระชนมายุได้ไปตามยถากรรมพร้อมกับพระโพธิสัตว์.

พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน เธอก็คบหาคนที่พบเห็นแล้ว ๆเหมือนกัน เพราะได้ฟังถ้อยคำของสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมจึงได้คบหาท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม“ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า „ช้างมหิลามุขในครั้งนั้นได้เป็นภิกษุผู้ซ่องเสพฝ่ายตรงข้ามในบัดนี้ พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนอำมาตย์ในครั้งนั้นได้เป็นเราคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล“.

Credit: Palipage : Guide to Language - Pali

ภาพวาดพุทธประวัติ โดย อ.คำนวน ชานันโท สุดยอด พุทธจิตรกร , รวมภาพพุทธประวัติเรียงลำดับเหตุการณ์ ทั้งหมด 81 ภาพ , Buddhist Paintings - The Life of the Buddha

____

25. ติตฺถชาตกํ - ว่าด้วยการเบื่อเพราะซ้ำซาก24. ว่าด้วยม้าอาชาไนยกับม้ากระจอก 23. ว่าด้วยม้าสินธพอาชาไนย , 22. ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 9. ว่าด้วยเทวทูต , 8. ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 7. ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ,  6. ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 5. ว่าด้วยราคาข้าวสาร,  4. ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 3.  ว่าด้วยเสรีววาณิช , 2. ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 1. ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ 










Previous Post
Next Post

0 comments: