'ความอยาก' ทำให้เราเวียนว่ายไม่จบสิ้น
[ณ วิหารเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี สาติภิกษุ ลูกชาวประมง เห็นผิดว่า วิญญาณนี้แหละที่ท่องเที่ยวแล่นไป โดยบอกกับผู้อื่นว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ภิกษุรูปหนึ่งได้เล่าเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระสาติมาพบ แล้วถามว่า]
พ: สาติ ได้ยินว่าเธอมีความเห็นว่า วิญญาณนี้แหละที่ท่องเที่ยวแล่นไป และบอกกับผู้อื่นว่านี่เป็นคำสอนของเรา จริงหรือ?
ส: เป็นอย่างนั้นท่าน. พ: แล้ววิญญาณนั้นเป็นอย่างไร? ส: เป็นสภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ รับผลกรรมดีชั่วทั้งหลาย
พ: ผิดแล้วเธอ เธอไปได้ยินเราพูดกับใคร, วิญญาณ (การรับรู้) ต้องมีปัจจัย จึงจะเกิดได้ เราพูดมาตลอดไม่ใช่หรือว่า วิญญาณจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีปัจจัยไม่ได้
ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยอะไรให้เกิดขึ้น ก็จะเรียกว่าเป็นวิญญาณตามปัจจัยนั้นๆ
ถ้าอาศัยตาและรูป ก็เรียกจักขุวิญญาณ (การรู้ทางตา) , ถ้าอาศัยหูและเสียง ก็เรียกโสตวิญญาณ
ถ้าอาศัยจมูกและกลิ่น ก็เรียกฆานวิญญาณ , ถ้าอาศัยลิ้นและรส ก็เรียกชิวหาวิญญาณ
ถ้าอาศัยกายและสัมผัส ก็เรียกกายวิญญาณ , ถ้าอาศัยใจและอารมณ์ที่เกิดทางใจ ก็เรียกมโนวิญญาณ
เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆเกิดขึ้น ก็ชื่อว่าเป็นไฟจากเชื้อนั้นๆ
พ: เธอทั้งหลายเห็นขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นหรือไม่?
ภ: เห็น ท่าน. พ: เห็นว่าเกิดเพราะอาหารใช่ไหม?
ภ: เห็นอย่างนั้น ท่าน. พ: ขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นนั้น ต้องดับเป็นธรรมดา เป็นเพราะอาหารนั้นดับไปใช่ไหม?
ภ: เป็นอย่างนั้น ท่าน. พ: ถ้าเธอทั้งหลายไม่ยึดติดเพลิดเพลินว่า [ขันธ์ 5] เป็นของเรา เธอก็จะสลัดทุกอย่างออก ไม่ใช่เข้าไปยึดถือ เป็นอย่างนั้นไหม?
ภ: เป็นอย่างนั้น ท่าน. พ: เหล่าสัตว์อาศัยอาหาร 4 อย่างที่ทำให้เกิด
1. อาหารที่เป็นวัตถุ กินเป็นคำๆ (กวฬิงการาหาร)
2. อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ผัสสาหาร)
3. เจตนาซึ่งทำให้เกิดกรรม คือการพูด คิด ทำ (มโนสัญเจตนาหาร)
4. การรับรู้อารมณ์ซึ่งทำให้เกิดนามรูป (วิญญาณาหาร)
โดยอาหารทั้ง 4 นี้ ล้วนเกิดจากตัณหาทั้งสิ้น แล้วตัณหาเกิดจากอะไร ตัณหาเกิดจากเวทนา (ความรู้สึก)
แล้วเวทนาเกิดจากอะไร เวทนาเกิดจากผัสสะ (การสัมผัส) แล้วผัสสะเกิดจากอะไร ผัสสะเกิดจากสฬายตนะ (ช่องทางการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้วสฬายตนะเกิดจากอะไร สฬายตนะเกิดจากนามรูป (กายกับจิต)
แล้วนามรูปเกิดจากอะไร นามรูปเกิดจากวิญญาณ (การรับรู้สิ่งต่างๆ) แล้ววิญญาณเกิดจากอะไร วิญญาณเกิดจากสังขาร (การปรุงแต่ง)
แล้วสังขารเกิดจากอะไร สังขารเกิดจากอวิชชา (การไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริงว่าสิ่งต่างๆไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของมันเอง มีแต่เหตุปัจจัยประกอบกันขึ้น)
ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน (การยึดติด) อุปาทานทำให้เกิดภพ (สภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่จิตสร้างขึ้น)
ภพทำให้เกิดชาติ (การเป็นตัวเป็นตน) ชาติทำให้เกิดชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย) โสกะปริเทวะ (ความเศร้าโศกเสียใจ) ทุกข์กายทุกข์ใจ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) ทั้งหมดนี้คือ กองทุกข์
เมื่อสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เพราะมีอวิชชา จึงเกิดสังขาร , เพราะมีสังขาร จึงเกิดวิญญาณ
เพราะมีวิญญาณ จึงเกิดนามรูป , เพราะมีนามรูป จึงเกิดสฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะ จึงเกิดผัสสะ , เพราะมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา
เพราะมีเวทนา จึงเกิดตัณหา , เพราะมีตัณหา จึงเกิดอุปาทาน
เพราะมีอุปาทาน จึงเกิดภพ , เพราะมีภพ จึงเกิดชาติ
เพราะมีชาติ จึงเกิดชรา มรณะโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ซึ่งเป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ , เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ , เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ , เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ , เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ , เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ กองทุกข์ทั้งสิ้นจึงดับไป
พ: เมื่อพวกเธอรู้อย่างนี้แล้ว ยังจะคิดอยู่ไหมว่าเรามีนั่นมีนี่ เราเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต?
ภ: ไม่เลย ท่าน.
พ: การที่สัตว์จะถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ได้นั้น ต้องมีปัจจัยครบ 3 ข้อ คือ 1) พ่อแม่อยู่ร่วมกัน 2) แม่มีประจำเดือน และ 3) สัตว์ที่จะมาเกิดได้ปรากฏขึ้น
เด็กน้อยนั้นอาศัยน้ำนมแม่ ร่างกายจึงเติบโต และเต็มไปด้วยกามคุณ 5 (ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส) สติไม่ตั้งมั่น จิตเป็นอกุศล เพลิดเพลินและยึดติดอยู่กับความสุขความอยากในสิ่งเหล่านั้น เกิดภพเกิดชาติ มีชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย) โสกะปริเทวะ (ความเศร้าโศกเสียใจ) ทุกข์กายทุกข์ใจ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น
การที่ฆราวาสผู้ครองเรือนจะหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงนั้น ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ การออกบวชเป็นทางที่ปลอดโล่งกว่า
เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจรักษาศีล สำรวจกายวาจาใจ มีสติรู้ตัว อยู่ที่สงบ ละนิวรณ์* เข้าฌาน
เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส หรือมีสิ่งกระทบใจ ก็ละวาง ไม่ยินดียินร้ายกับความรู้สึกที่เกิด เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดีก็ไม่ยึดติด ภพดับ ชาติดับ สุดท้ายทุกข์ก็ดับ
พวกเธอจงจำตัณหาสังขยวิมุตติ (คำสอนนี้) และจำไว้ว่าสาติภิกษุยังเป็นผู้ที่ถูกรัดติดแน่นอยู่ในข่ายตัณหา
_______
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 19 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ภาค 1 เล่ม 3 มหาตัณหาสังขยสูตร ข้อ 440), 2559, น.172-195
*สิ่งขัดขวางการทำงานของจิตไม่ให้เกิดสมาธิ ได้แก่ ความเพลิดเพลินพอใจในกาม ความพยาบาท ความเซื่องซึมง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และความลังเลสงสัย
Credit: พระพุทธเจ้าพูดอะไร
อะไรที่จะทำให้เราอยู่อย่างเป็นสุข? , อะไรที่ทำให้จิตเศร้าหมอง?
0 comments: