วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565

'ความอยาก' ทำให้เราเวียนว่ายไม่จบสิ้น

'ความอยาก' ทำให้เราเวียนว่ายไม่จบสิ้น

[ณ วิหารเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี สาติภิกษุ ลูกชาวประมง เห็นผิดว่า วิญญาณนี้แหละที่ท่องเที่ยวแล่นไป โดยบอกกับผู้อื่นว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ภิกษุรูปหนึ่งได้เล่าเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระสาติมาพบ แล้วถามว่า]

พ:  สาติ ได้ยินว่าเธอมีความเห็นว่า วิญญาณนี้แหละที่ท่องเที่ยวแล่นไป และบอกกับผู้อื่นว่านี่เป็นคำสอนของเรา จริงหรือ?

ส:  เป็นอย่างนั้นท่าน.     พ:  แล้ววิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?  ส:  เป็นสภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ รับผลกรรมดีชั่วทั้งหลาย

พ:  ผิดแล้วเธอ เธอไปได้ยินเราพูดกับใคร,  วิญญาณ (การรับรู้) ต้องมีปัจจัย จึงจะเกิดได้ เราพูดมาตลอดไม่ใช่หรือว่า วิญญาณจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีปัจจัยไม่ได้

ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยอะไรให้เกิดขึ้น ก็จะเรียกว่าเป็นวิญญาณตามปัจจัยนั้นๆ

ถ้าอาศัยตาและรูป ก็เรียกจักขุวิญญาณ (การรู้ทางตา) ,  ถ้าอาศัยหูและเสียง ก็เรียกโสตวิญญาณ

ถ้าอาศัยจมูกและกลิ่น ก็เรียกฆานวิญญาณ ,  ถ้าอาศัยลิ้นและรส ก็เรียกชิวหาวิญญาณ

ถ้าอาศัยกายและสัมผัส ก็เรียกกายวิญญาณ ,  ถ้าอาศัยใจและอารมณ์ที่เกิดทางใจ ก็เรียกมโนวิญญาณ

เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆเกิดขึ้น ก็ชื่อว่าเป็นไฟจากเชื้อนั้นๆ

พ: เธอทั้งหลายเห็นขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นหรือไม่?

ภ:  เห็น ท่าน.  พ: เห็นว่าเกิดเพราะอาหารใช่ไหม?

ภ:  เห็นอย่างนั้น ท่าน.    พ:  ขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นนั้น ต้องดับเป็นธรรมดา เป็นเพราะอาหารนั้นดับไปใช่ไหม?

ภ: เป็นอย่างนั้น ท่าน.  พ: ถ้าเธอทั้งหลายไม่ยึดติดเพลิดเพลินว่า [ขันธ์ 5] เป็นของเรา เธอก็จะสลัดทุกอย่างออก ไม่ใช่เข้าไปยึดถือ เป็นอย่างนั้นไหม?

ภ: เป็นอย่างนั้น ท่าน.   พ: เหล่าสัตว์อาศัยอาหาร 4 อย่างที่ทำให้เกิด

1. อาหารที่เป็นวัตถุ กินเป็นคำๆ (กวฬิงการาหาร)

2. อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ผัสสาหาร)

3. เจตนาซึ่งทำให้เกิดกรรม คือการพูด คิด ทำ (มโนสัญเจตนาหาร)

4. การรับรู้อารมณ์ซึ่งทำให้เกิดนามรูป (วิญญาณาหาร)

โดยอาหารทั้ง 4 นี้ ล้วนเกิดจากตัณหาทั้งสิ้น   แล้วตัณหาเกิดจากอะไร ตัณหาเกิดจากเวทนา (ความรู้สึก)

แล้วเวทนาเกิดจากอะไร เวทนาเกิดจากผัสสะ (การสัมผัส)  แล้วผัสสะเกิดจากอะไร ผัสสะเกิดจากสฬายตนะ (ช่องทางการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)  แล้วสฬายตนะเกิดจากอะไร สฬายตนะเกิดจากนามรูป (กายกับจิต)

แล้วนามรูปเกิดจากอะไร นามรูปเกิดจากวิญญาณ (การรับรู้สิ่งต่างๆ)  แล้ววิญญาณเกิดจากอะไร วิญญาณเกิดจากสังขาร (การปรุงแต่ง)

แล้วสังขารเกิดจากอะไร สังขารเกิดจากอวิชชา (การไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริงว่าสิ่งต่างๆไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของมันเอง มีแต่เหตุปัจจัยประกอบกันขึ้น)

ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน (การยึดติด)  อุปาทานทำให้เกิดภพ (สภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่จิตสร้างขึ้น)

ภพทำให้เกิดชาติ (การเป็นตัวเป็นตน)  ชาติทำให้เกิดชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย) โสกะปริเทวะ (ความเศร้าโศกเสียใจ) ทุกข์กายทุกข์ใจ อุปายาส (ความคับแค้นใจ)  ทั้งหมดนี้คือ กองทุกข์

เมื่อสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

เพราะมีอวิชชา จึงเกิดสังขาร ,  เพราะมีสังขาร จึงเกิดวิญญาณ

เพราะมีวิญญาณ จึงเกิดนามรูป ,  เพราะมีนามรูป จึงเกิดสฬายตนะ

เพราะมีสฬายตนะ จึงเกิดผัสสะ ,  เพราะมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา

เพราะมีเวทนา จึงเกิดตัณหา ,  เพราะมีตัณหา จึงเกิดอุปาทาน

เพราะมีอุปาทาน จึงเกิดภพ , เพราะมีภพ จึงเกิดชาติ

เพราะมีชาติ จึงเกิดชรา มรณะโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ซึ่งเป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น

เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ,  เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ , เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ , เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ

เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ , เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ

เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ , เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะชาติดับ ชรา มรณะโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ กองทุกข์ทั้งสิ้นจึงดับไป

พ:  เมื่อพวกเธอรู้อย่างนี้แล้ว ยังจะคิดอยู่ไหมว่าเรามีนั่นมีนี่ เราเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต?

ภ:  ไม่เลย ท่าน.  

พ:  การที่สัตว์จะถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ได้นั้น ต้องมีปัจจัยครบ 3 ข้อ คือ 1) พ่อแม่อยู่ร่วมกัน 2) แม่มีประจำเดือน และ 3) สัตว์ที่จะมาเกิดได้ปรากฏขึ้น

เด็กน้อยนั้นอาศัยน้ำนมแม่ ร่างกายจึงเติบโต และเต็มไปด้วยกามคุณ 5 (ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส) สติไม่ตั้งมั่น จิตเป็นอกุศล เพลิดเพลินและยึดติดอยู่กับความสุขความอยากในสิ่งเหล่านั้น เกิดภพเกิดชาติ มีชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย) โสกะปริเทวะ (ความเศร้าโศกเสียใจ) ทุกข์กายทุกข์ใจ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น

การที่ฆราวาสผู้ครองเรือนจะหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงนั้น ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ การออกบวชเป็นทางที่ปลอดโล่งกว่า

เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจรักษาศีล สำรวจกายวาจาใจ มีสติรู้ตัว อยู่ที่สงบ ละนิวรณ์* เข้าฌาน

เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส หรือมีสิ่งกระทบใจ ก็ละวาง ไม่ยินดียินร้ายกับความรู้สึกที่เกิด เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดีก็ไม่ยึดติด ภพดับ ชาติดับ สุดท้ายทุกข์ก็ดับ

พวกเธอจงจำตัณหาสังขยวิมุตติ (คำสอนนี้) และจำไว้ว่าสาติภิกษุยังเป็นผู้ที่ถูกรัดติดแน่นอยู่ในข่ายตัณหา

_______

ที่มา:  เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 19 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ภาค 1 เล่ม 3 มหาตัณหาสังขยสูตร ข้อ 440), 2559, น.172-195

*สิ่งขัดขวางการทำงานของจิตไม่ให้เกิดสมาธิ ได้แก่ ความเพลิดเพลินพอใจในกาม ความพยาบาท ความเซื่องซึมง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และความลังเลสงสัย

Credit: พระพุทธเจ้าพูดอะไร

อะไรที่จะทำให้เราอยู่อย่างเป็นสุข? ,  อะไรที่ทำให้จิตเศร้าหมอง?








Previous Post
Next Post

0 comments: