อภิณฺหชาตกํ - ว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ
นาลํ กพฬํ ปทาตเว,
น จ ปิณฺฑํ น กุเส น ฆํสิตุํ;
มญฺญามิ อภิณฺหทสฺสนา,
นาโค สฺเนหมกาสิ [1] กุกฺกุเรติ ฯ
"พระยาช้างไม่สามารถจะรับเอาคำข้าว, ไม่สามารถจะรับเอาก้อนข้าว, ไม่สามารถจะรับเอาหญ้าทั้งหลาย, ไม่สามารถจะขัดสีกาย, ข้าพระบาทมาสำคัญว่า พระยาช้างตัวเชือกประเสริฐ ได้ทำความรักใคร่ในสุนัขเพราะได้เห็นกันเนืองๆ."
———
1) [สิเนหมกาสิ (สี. สฺยา. ปี.)]
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหารทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่งกับพระเถระแก่ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาลํ กพลํ ปทาตเว ดังนี้.
ได้ยินว่า ในนครสาวัตถีมีสหาย ๒ คน บรรดาสหายทั้งสองนั้นคนหนึ่งบวชแล้วได้ไปยังเรือนของสหายนอกนี้ทุกวัน สหายนั้นได้ถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้สหายนั้น แม้ตนเองก็บริโภคแล้วได้ไปวิหารพร้อมกับภิกษุผู้สหายนั้นนั่นแหละ นั่งสนทนาปราศัยอยู่จนพระอาทิตย์อัสดง จึงกลับเข้าเมือง. ฝ่ายภิกษุผู้สหายนอกนี้ก็ตามสหายนั้นไปจนถึงประตูเมืองแล้วก็กลับ. ความคุ้นเคยของสหายทั้งสองนั้น เกิดปรากฏในระหว่างภิกษุทั้งหลาย. อยู่มาวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งกล่าวถึงความคุ้นเคยของสหายทั้งสองนั้น ในโรงธรรมสภา.
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า „ภิกษุทั้งหลายบัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนา กันด้วยกถาเรื่องอะไรหนอ ?“ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า „ด้วยกถาเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า“.
พระศาสดาตรัสว่า „ภิกษุทั้งหลาย สหายทั้งสองนี้เป็นผู้คุ้นเคยกันแต่ในบัดนี้ เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกันเหมือนกัน“, แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้. :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสีในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตนั้น. ในกาลนั้น สุนัขตัวหนึ่งไปยังโรงช้างมงคลกินเมล็ดข้าวสุกแห่งภัตที่ตกอยู่ในที่ที่ช้างมงคลบริโภค สุนัขนั้นเติบโตด้วยโภชนะนั้นนั่นแล จึงเกิดความคุ้นเคยกับช้างมงคลบริโภคอยู่ในสำนักของช้างมงคลนั้นเอง. สัตว์แม้ทั้งสองไม่อาจเป็นไปเว้นจากกัน.
ช้างนั้นใช้งวงจับสุนัขนั้นไสไปไสมาเล่น ยกขึ้นวางบนกระพองบ้าง. อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์ชาวบ้านคนหนึ่งให้มูลค่าแก่คนเลี้ยงช้างแล้วได้พาเอาสุนัขนั้นไปบ้านของตน ตั้งแต่นั้น ช้างนั้นเมื่อไม่เห็นสุนัขก็ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่อาบ.
พวกคนเลี้ยงช้างจึงกราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชาทรงสั่งพระโพธิสัตว์ไปด้วยพระดำรัสว่า „บัณฑิตท่านจงไป จงรู้ว่า เพราะเหตุไรช้างจึงกระทำอย่างนั้น“.
พระโพธิสัตว์ไปยังโรงช้างรู้ว่า ช้างเสียใจ คิดว่า „โรคไม่ปรากฏในทั้งกายของช้างนี้ ก็ความสนิทสนมฐานมิตรกับใครๆ จะพึงมีแก่ช้างนั้น ช้างนั้นเห็นจะไม่เห็นมิตรนั้น จึงถูกความโศกครอบงำ“ ครั้นคิดแล้วจึงถามพวกคนเลี้ยงช้างว่า „ความคุ้นเคยกับใครๆ ของช้างนี้ มีอยู่หรือ ?“.
พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า „มีจ้ะนาย ช้างนี้ถึงความคุ้นเคยกันมากกับสุนัขตัวหนึ่ง“.
พระโพธิสัตว์ถามว่า „บัดนี้ สุนัขตัวนั้นอยู่ที่ไหน ?“
พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า „ถูกมนุษย์คนหนึ่งนำไป“.
พระโพธิสัตว์ถามว่า „ก็ที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์คนนั้น พวกท่านรู้จักไหม ?“
พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า „ไม่รู้จักดอกนาย“.
พระโพธิสัตว์ได้ไปยังสำนักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ อาพาธไร ๆของช้างไม่มี, แต่ช้างนั้นมีความคุ้นเคยอย่างแรงกล้ากับสุนัขตัวหนึ่ง, ช้างนั้นเห็นจะไม่เห็นสุนัขนั้นจึงไม่บริโภค“, แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
„พระยาช้างไม่สามารถจะรับเอาคำข้าว ไม่สามารถจะรับเอาก้อนข้าว ไม่สามารถจะรับเอาหญ้า ไม่สามารถจะขัดสีกาย, ข้าพระบาทมาสำคัญว่า พระยาช้างตัวประเสริฐได้ทำความรักใคร่ในสุนัข เพราะได้เห็นกันเนือง ๆ“.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาลํ แปลว่า ไม่สามารถ. บทว่า กพลํ ได้แก่ คำข้าวที่ให้เฉพาะทีแรก ในเวลาบริโภค. บทว่า ปทาตเว แปลว่า เพื่อรับเอา. พึงทราบการลบ อา อักษร เนื่องด้วยวิธีสนธิการเชื่อมศัพท์. อธิบายว่า เพื่อถือเอา. บทว่า น ปิณฺฑํ ได้แก่ ไม่สามารถเพื่อรับเอาแม้ก้อนภัตที่เขาปั้นให้. บทว่า น กุเส ได้แก่ ไม่สามารถรับเอาแม้หญ้าทั้งหลายที่เข้าให้กิน. บทว่า น ฆํสิตุํ ความว่า ให้อาบอยู่ก็ไม่สามารถจะขัดสีแม้ร่างกาย.
พระโพธิสัตว์กราบทูลแด่พระะราชาถึงเหตุทั้งปวงที่ช้านั้น ไม่สามารถจะกระทำอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกราบทูลถึงเหตุที่ตนกำหนด ในเพราะช้างนั้น ไม่สามารถ จึงกราบทูลคำมีอาทิว่า มญฺญามิ ข้าพระบาทสำคัญว่า ดังนี้.
พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้วจึงตรัสถามว่า „ดูก่อนบัณฑิต บัดนี้ควรกระทำอย่างไร ?“ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ได้ยินว่า มนุษย์ผู้หนึ่งพาเอาสุนัข ผู้เป็นสหายของช้างมงคลแห่งข้าพระบาททั้งหลายไป, ขอพระองค์จงให้คนเที่ยวตีกลองประกาศว่า ชนทั้งหลายแม้เห็นสุนัขนั้น ในเรือนของคนใด คนนั้นจะมีสินไหมชื่อนี้ ดังนี้ พระเจ้าข้า“.
พระราชาทรงให้กระทำอย่างนั้น. บุรุษนั้นได้สดับข่าวนั้นจึงปล่อยสุนัข สุนัขนั้นรีบไปได้ไปยังสำนักของช้างทีเดียว. ช้างเอางวงจับสุนัขนั้น วางบนกระพองร้องไห้ร่ำไรแล้วเอาลงจากกระพอง เมื่อสุนัขนั้นบริโภค คนจึงบริโภคภายหลังพระราชาทรงพระดำริว่า „พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยของสัตว์ดิรัจฉาน“ จึงได้ประทานยศใหญ่แก่พระโพธิสัตว์.
พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสองรูปนี้เป็นผู้คุ้นเคยกันในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกันมาแล้ว“ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงเปลี่ยนแสดงด้วยกถาว่า ด้วยสัจจะ ๔ ทรงสืบอนุสนธิแล้วทรงประชุมชาดก.
ชื่อว่าการเปลี่ยนมาแสดงกถาว่า ด้วยสัจจะ ๔ นี้ ย่อมมีแม้ทุกชาดกทีเดียว แต่เราทั้งหลายจักแสดงการเปลี่ยนกลับมาแสดงกถาว่า ด้วยอริยสัจ ๔ เฉพาะในชาดกที่ปรากฏอานิสงส์แก่บุคคลนั้นเท่านั้นแล.
สนัขในกาลนั้นได้เป็นอุบาสกในบัดนี้ ช้างในกาลนั้นได้เป็นพระเถระ แต่ในบัดนี้ พระราชาในกาลนั้นได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนบัณฑิตผู้เป็นอำมาตย์ได้เป็นเราแล.
Credit: Palipage : Guide to Language - Pali
26. มหิฬามุขชาตกํ - ว่าด้วยการเสี้ยมสอน , 25. ติตฺถชาตกํ - ว่าด้วยการเบื่อเพราะซ้ำซาก , 24. ว่าด้วยม้าอาชาไนยกับม้ากระจอก , 23. ว่าด้วยม้าสินธพอาชาไนย , 22. ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 9. ว่าด้วยเทวทูต , 8. ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 7. ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ , 6. ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 5. ว่าด้วยราคาข้าวสาร, 4. ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 3. ว่าด้วยเสรีววาณิช , 2. ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 1. ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
ภาพวาดพุทธประวัติเรียงลำดับเหตุการณ์ โดย กฤษณะ สุริยกานต์ , รวมภาพพุทธประวัติเรียงลำดับเหตุการณ์ ทั้งหมด 81 ภาพ วัดพระบาทน้ำพุ , ภาพวาดพุทธประวัติ โดย อ.คำนวน ชานันโท สุดยอด พุทธจิตรกร , พุทธประวัติโดยย่อ , Buddhist Paintings - The Life of the Buddha
0 comments: