วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

กณฺหชาตกํ - ว่าด้วยผู้เอาการเอางาน

กณฺหชาตกํ - ว่าด้วยผู้เอาการเอางาน

ยโต  ยโต  ครุ  ธุรํ,    ยโต  คมฺภีรวตฺตนี;
ตทาสฺสุ  กณฺหํ  ยุญฺชนฺติ,    สฺวาสฺสุ  ตํ  วหเต  ธุรนฺติฯ

"ในที่ใดๆ มีธุระหนัก ในที่ใดมีร่องน้ำลึก,  ชนทั้งหลายก็เทียมโคดำในกาลนั้นทีเดียว,  โคดำนั้นก็นำเอาธุระนั้นไปได้โดยแท้."

กัณหชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันทรงปรารภยมกปาฏิหาริย์จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  ยโต  ยโต  ครุ  ธุรํ  ดังนี้. 

ยมกปาฏิหาริย์นั้น  พร้อมกับการเสด็จลงจากเทวโลก จักมีแจ้งในสรภังคชาดก เตรสนิบาต. ก็เนื้อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์แล้วเสด็จอยู่ในเทวโลก ในวันมหาปวารณา เสด็จลงที่ประตูเมือง สังกัสสะแล้วเสด็จเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารพร้อมด้วยบริวารใหญ่. 

ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมสภานั่งกล่าวถึงพระคุณของพระศาสดาว่า „อาวุโสทั้งหลายชื่อว่าพระตถาคต มีธุระไม่มีผู้เสมอ คนอื่นชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะนำเอาธุระที่พระตถาคตนำไปแล้ว ย่อมไม่มี, ครูทั้ง ๖ กล่าวว่า พวกเราเท่านั้นจักกระทำปาฏิหาริย์ พวกเราเท่านั้นจักกระทำปาฏิหาริย์ แม้ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งก็ไม่ได้ทำ, น่าอัศจรรย์ พระศาสดาทรงมีธุระไม่มีผู้เสมอ“. 

พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?“.  

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอื่น หามิได้ นั่งสนทนากันด้วยเรื่องพระคุณเฉพาะของพระองค์ชื่อเห็นปานนี้“.

พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใคร ๆ จักนำไปซึ่งธุระที่เรานำไปแล้ว ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้, แม้ในกาลก่อน เราแม้บังเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ก็ไม่ได้ใครๆ ผู้มีธุระเสมอกับเรา“, แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ :- 

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ในนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์ ถือปฏิสนธิในกำเนิดโค ครั้นในเวลาทียังเป็นลูกโคหนุ่มนั่นแลเจ้าของทั้งหลายอยู่ในเรือนของหญิงแก่คนหนึ่ง กำหนดค่าเช่าที่อยู่อาศัยจึงได้ให้ลูกโคนั้น หญิงแก่นั้นปฏิบัติลูกโคหนุ่มนั้นด้วยข้าวยาคูและภัตเป็นต้น ตั้งไว้ในฐานะบุตรให้เติบโตแล้ว ลูกโคนั้น ปรากฏชื่อว่าอัยยิกากาฬกะ. 

ก็โคนั้นเจริญวัยแล้ว เป็นผู้มีสีเหมือนดอกอัญชัน เทียวไปกับโคบ้านได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ พวกเด็กชาวบ้านจับที่เขาบ้าง ที่หูบ้าง ที่คอบ้าง โหนบ้าง จับที่หางเล่นบ้าง ดึงมาบ้าง นั่งบนหลังบ้าง. 

วันหนึ่ง โคนั้นคิดว่า „มารดาของเรายากจน ตั้งเราไว้ในฐานเป็นบุตร เลี้ยงดูมาโดยลำบาก, ถ้ากระไร เราทำการรับจ้าง ปลดเปลื้องมารดานี้ ให้พ้นจากความยากจน“ จำเดิมแต่นั้น โคนั้นเที่ยวทำการรับจ้าง. 

อยู่มาวันหนึ่ง บุตรพ่อค้าเกวียนคนหนึ่งมีเกวียน ๕๐๐ เล่มไปประจวบ เอาท่าที่ไม่ราบเรียบ โคทั้งหลายของพ่อค้าเกวียนนั้น ไม่สามารถจะยังเกวียนทั้งหลายให้ข้ามขึ้นได้ โคทั้งหลายในเกวียน ๕๐๐ เล่ม ที่เจ้าของเอาแอกมาเทียมต่อๆ กัน ก็ไม่ได้อาจเพื่อจะให้เกวียนแม้เล่มเดียวข้ามขึ้นไปได้. 

ฝ่ายพระโพธิสัตว์กับพวกโคชาวบ้าน เที่ยวไป ณ ที่ใกล้ท่า. ฝ่ายบุตรพ่อค้าเกวียน ก็เป็นผู้รู้ตำราดูโค, เขาใคร่ครวญอยู่ว่า ในระหว่างโคเหล่านี้โคอุสภอาชาไนยผู้สามารถยังเกวียนเหล่านี้ให้ข้ามพ้น มีอยู่หรือหนอ?“,  ได้เห็นพระโพธิสัตว์แล้วคิดว่า „นี้โคอาชาไนยจักอาจยังเกวียนทั้งหลายของเราให้ข้ามพ้นได้, ใครหนอ? เป็นเจ้าของโคตัวนี้“, จึงถามพวกคนเลี้ยงโคว่า „ท่านผู้เจริญ ใครหนอ? เป็นเจ้าของโคตัวนี้, เราจักเทียมโคนี้ในเกวียนทั้งหลาย, เมื่อเกวียนทั้งหลายอันโคนี้ให้ข้ามขึ้นได้ จักให้ค่าจ้าง“. 

พวกคนเลี้ยงโคเหล่านั้นกล่าวว่า „ท่านทั้งหลายจงจับมันเทียมเถิด เจ้าของโคตัวนี้ ในที่นี้ ไม่มี“. บุตรพ่อค้าเกวียนนั้น จึงเอาเชือกผูกพระโพธิสัตว์นั้น ที่จมูกแล้วดัน แต่ไม่ได้อาจแม้จะให้เคลื่อนไหวได้. 

ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ไม่ได้ไปด้วยคิดว่า „เมื่อบอกค่าจ้างเราจักไป“. บุตรพ่อค้าเกวียนรู้ความประสงค์ของพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวว่า „นาย เมื่อท่านให้เกวียน ๕๐๐ เล่ม ข้ามขึ้นแล้ว เราจักเก็บเกวียนละ ๒ กหาปณะให้เป็นค่าจ้างแล้วจักให้๑,๐๐๐ กหาปณะ“. 

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เดินไปเองทีเดียว ลำดับนั้น บุรุษทั้งหลายจึงเทียมพระโพธิสัตว์นั้น ที่เกวียนทั้งหลาย. ทีนั้น พระโพธิสัตว์ยกเกวียนนั้นขึ้นโดยกำลังแรงครั้งเดียวเท่านั้น ให้เกวียนไปตั้งอยู่บนบก ยังเกวียนทั้งหมดให้ข้ามขึ้นโดยอุบายนี้ บุตรพ่อค้าเกรียนเก็บกหาปณะหนึ่งต่อเกวียนเล่มหนึ่ง ๆ กระทำทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะให้เป็นห่อมีภัณฑะแล้วฝักที่คอ ของพระโพธิสัตว์นั้น. 

พระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า „บุตรพ่อค้าเกวียนนี้ไม่ให้ค่าจ้างแก่เราตามที่กำหนดไว้, บัดนี้ เราจักไม่ให้บุตรพ่อเกวียนนั้นไป“ จึงได้ไปยืนขวางทางข้างหน้าเกวียนเล่มแรกสุด. คนทั้งหลายแม้จะพยายามเพื่อให้หลีกไปก็ไม่ได้อาจเพื่อจะให้พระโพธิสัตว์นั้นหลีกไป. 

บุตรพ่อค้าเกวียนคิดว่า „โคนี้เห็นจะรู้ว่า ค่าจ้างของตนหย่อนไป จึงเก็บ ๒ กหาปณะในเกวียนเล่มหนึ่ง ๆ ผูกทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะให้เป็นห่อมีภัณฑะแล้วคล้องที่คอ โดยกล่าวว่า „นี้เป็นค่าจ้างในการยังเกวียนให้ข้ามขึ้นของท่าน“.

พระโพธิสัตว์นั้นพาเอาห่อทรัพย์พันหนึ่งได้ไปยังสำนักของมารดา พวกเด็กชาวบ้านได้ไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ด้วยคิดกันว่า „นี่ชื่ออะไร? ที่คอของโคอัยยิกากาฬกะ“. 

พระโพธิสัตว์นั้นถูกเด็กชาวบ้านติดตาม จึงหนีไปไกลได้ไปยังสำนักของมารดา. ก็เพราะให้เกวียน ๕๐๐ เล่มข้ามขึ้น จึงปรากฏเป็นผู้เหน็ดเหนื่อยมีตาทั้งสองข้างแดง. ยายเห็นถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ที่คอของพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวว่า „พ่อ สิ่งนี้ เจ้าได้มา ณ ที่ไหน?“ แล้วถามพวกเด็กชาวบ้านได้ฟังเนื้อความนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า „พ่อ เราต้องการเลี้ยงชีวิตด้วยค่าจ้างที่เจ้าได้มาหรือ? เพราะเหตุไร เจ้าจึงเสวยทุกข์เห็นปานนี้?“, จึงให้พระโพธิสัตว์อาบน้ำอุ่น เอาน้ำมันทาทั่วร่างกาย ให้ดื่มน้ำ ให้บริโภคโภชนะอันเป็นสัปปายะ. ในเวลาสิ้นชีวิตได้ไปตามยถากรรมพร้อมกับพระโพธิสัตว์. 

ฝ่ายพระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้มีธุระไม่มีผู้เสมอ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้, แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้มีธุระไม่มีผู้เสมอเหมือนกัน“ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงทรงสืบต่ออนุสนธิ เป็นพระผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า  :- 

„ในที่ใด ๆ มีธุระหนัก ในที่ใดมีร่องทางลุ่มลึก, ในกาลนั้น ชนทั้งหลายย่อมเทียมโคดำที่เดียว, โคดำนั้นก็นำเอาธุระนั้นไปได้โดยแท้“. 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  ยโต  ยโต  ครุ  ธุรํ  ความว่า ในที่ใด ๆมีธุระหนัก คือหยาบ โคพลิพัทอื่น ๆไม่อาจยกขึ้นได้.  บทว่า  ยโต  คมฺภีรวตฺตนี  ความว่า ชื่อว่าวตฺตนิ ทาง เพราะเป็นที่ไปของคน. คาว่า  วัตตนิ  เป็นชื่อของหนทาง. อธิบายว่า ในที่ใดมีหนทางชื่อว่าลึกเพราะมีน้ำและโคลนมาก หรือเพราะความเป็นทางขรุขระและชัน. 

ศัพท์ว่า  อสฺสุ  ในบทว่า  ตทาสฺสุ  กณฺหํ  ยุญฺชนฺติ  นี้ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ในกาลนั้น ย่อมเทียมโคคำท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ในกาลใดมีธุระหนักและมีหนทางลึก ในกาลนั้น ชนทั้งหลายจึงเอาโคพลิพัทตัวอื่นออกไปแล้ว เทียมโคดำเท่านั้น.  ศัพท์ว่า  อสฺสุ  แม้ในบทว่า  สฺวาสฺสุ  ตํ  วหเต  ธุรํ  ก็เป็นศัพท์นิบาตเหมือนกัน. อธิบายว่า โคดำนั้นย่อมนำธุระนั้นไป. 

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลนั้นโคดำเท่านั้นนำธุระนั้นไป ดังนี้ ด้วยประการอย่างนี้แล้วทรงสืบต่ออนุสนธิประชุมชาดกว่า หญิงแต่ในครั้งนั้นได้เป็นนางอุบลวรรณา ส่วนโคอัยยิกากาฬกะได้เป็นเราแล. 

จบกัณหชาดกที่ ๙

______

Credit: Palipage : Guide to Language - Pali

28. ว่าด้วยการพูดดี , 27. ว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ , 26. ว่าด้วยการเสี้ยมสอน , 25. ว่าด้วยการเบื่อเพราะซ้ำซาก , 24. ว่าด้วยม้าอาชาไนยกับม้ากระจอก 23. ว่าด้วยม้าสินธพอาชาไนย , 22. ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 9. ว่าด้วยเทวทูต , 8. ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 7. ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ,  6. ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 5. ว่าด้วยราคาข้าวสาร,  4. ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 3. ว่าด้วยเสรีววาณิช , 2. ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 1. ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ 

Ancient Buddhist sculptures, Gandhara art.








Previous Post
Next Post

0 comments: