ไม่จำเป็นต้องคล้อยตามโลกไปทุกเรื่อง
ปีนี้ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ เลยวันวาเลนไทน์มา ๒ วัน
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์-วันวาเลนไทน์ ไม่ได้ยินใครพูดถึงมาฆบูชา
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์-วันมาฆบูชา ได้ยินใครพูดถึงวันแห่งความรักบ้างหรือเปล่า
ปีไหนวันมาฆบูชาตรงกับวันวาเลนไทน์ หรือเฉียดกันสักวัน เราก็จะได้ยินนักอธิบายธรรมอธิบายโอวาทปาติโมกข์ให้เป็นหลักธรรมแห่งความรักกันอย่างมั่นอกมั่นใจ
เวลานี้ ค่านิยม “วันแห่งความรัก” มาอยู่ใกล้กับวันมาฆบูชา ก็อธิบายโอวาทปาติโมกข์ให้เป็นหลักธรรมแห่งความรัก อีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า ในช่วงวันมาฆบูชา ถ้าสังคมเขาเปลี่ยนไปนิยมเรื่องเสรีภาพ ก็คงจะมีคนอธิบายโอวาทปาติโมกข์ให้เป็นหลักธรรมแห่งเสรีภาพ และอีก ๓๐๐ ปีข้างหน้า ในช่วงวันมาฆบูชา ถ้าสังคมเขาเปลี่ยนไปนิยมเรื่องการเกษตร ก็คงจะมีคนอธิบายโอวาทปาติโมกข์ให้เป็นหลักธรรมแห่งการเกษตร
แปลว่า ในช่วงวันมาฆบูชา สังคมเขานิยมเรื่องอะไร เราก็ต้องอธิบายโอวาทปาติโมกข์ให้เป็นหลักธรรมแห่งเรื่องนั้นๆ ไปด้วยอย่างนั้นหรือ? แล้วจริงๆ แล้ว โอวาทปาติโมกข์เป็นหลักธรรมแห่งอะไรกันแน่?
ขออนุญาตยกข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “โอวาทปาติโมกข์” มาเสนอไว้ในที่นี้เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้
โอวาทปาติโมกข์ [โอ-วา-ทะ-ปา-ติ-โมก]
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (อรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ เป็นเวลา ๒๐ พรรษาก่อนที่จะโปรดให้สวดปาติโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),
คาถาโอวาทปาติโมกข์ มีดังนี้
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ
แปล: การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตต์ของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต, ผู้เบียดเบียนคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิตต์ ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
เรื่องหนึ่งที่นักอธิบายธรรมของเราอาจจะไม่รู้ หรือรู้ แต่ไม่นำมาอธิบายบอกกันให้รู้ ก็คือ ที่ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ บอกไว้ว่า “อรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ เป็นเวลา ๒๐ พรรษาก่อนที่จะโปรดให้สวดปาติโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา” หมายความว่า ในสมัยพุทธกาล แต่เดิมการประชุมสงฆ์สวดปาติโมกข์ยังไม่มี พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นี้แก่ที่ประชุมสงฆ์ด้วยพระองค์เอง เป็นเช่นนั้นอยู่ ๒๐ พรรษา จึงเกิดเหตุ
เหตุที่เกิดก็คือ คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับที่บุพพารามเมืองสาวัตถี (คงจำกันได้ว่า นางวิสาขาเป็นผู้สร้างอารามแห่งนี้) ถึงวันที่กำหนดทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ภิกษุก็ประชุมกันพร้อมแล้ว แต่พระพุทธเจ้าไม่เสด็จไปทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ตรัสว่า “บริษัทไม่บริสุทธิ์”
คำว่า “บริษัทไม่บริสุทธิ์” หมายถึงมีภิกษุทุศีลนั่งอยู่ในที่ประชุมสงฆ์ด้วย
พระมหาโมคคัลลานะตรวจดู พบตัวแล้วจึงบอกให้ภิกษุรูปนั้นออกไปเสียจากที่ประชุม ขอร้องดีๆ ๓ ครั้ง ตามวัฒนธรรมของชาวชมพูทวีป “ตติยมฺปิ” หรือ ครั้งที่ ๓ ถือว่าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีครั้งที่ ๔ คือต้องจัดการให้แตกหักเด็ดขาดกันไป
พระมหาโมคคัลลานะท่านจึงใช้อำนาจลากตัวภิกษุทุศีลรูปนั้นออกไป แล้วไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “บริษัทบริสุทธิ์แล้ว”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไป พระองค์จะไม่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่ที่ประชุมสงฆ์อีกต่อไป ขอให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันสวดปาติโมกข์คือสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วนั้นแทน
นี่เป็นแง่มุมหนึ่งของโอวาทปาติโมกข์ที่เราส่วนมากไม่ค่อยได้รับรู้กัน ในคัมภีร์ท่านแสดงไว้ว่า -
อิมา ปน สพฺพพุทฺธานํ ปาฏิโมกฺขุทฺเทสคาถา โหนฺติ. คาถาเหล่านี้เป็นคาถาแสดงหัวข้อธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
นั่นคือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะตรัสโอวาทปาติโมกข์เป็นข้อความเดียวกันเช่นนี้ และนั่นก็คือ โอวาทปาติโมกข์เป็นหลักการของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
ถ้าประสงค์จะแสดงหลักธรรมแห่งความรักคล้อยตามค่านิยมของสังคม ก็ควรจะค้นคว้าหาหลักธรรมที่ว่าด้วยความรักหรือหลักธรรมที่ทำให้เกิดความรักที่มีแสดงไว้ตรงๆ ในพระไตรปิฎกหรือในคัมภีร์ยกมาแสดงน่าจะเหมาะสมกว่า
อย่างเช่นคาถา - ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ... ที่นักเรียนบาลีเรียนกันมาตั้งแต่ชั้นเปรียญต้นๆ นี่ก็ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งความรักตรงๆ
หรือหลักสาราณียธรรม ๖ นี่ท่านก็บอกไว้ตรงๆ ว่าเป็น “ปิยกรณ” คือทำให้เป็นที่รัก (endearing) หรือถ้าอยากจะยกหลักธรรมครอบจักรวาลกันจริงๆ ก็-อัปปมาทะนั่นอย่างไร ท่านอุปมาเป็นรอยเท้าช้างรวมรอยเท้าไว้ได้ทั้งหมด อธิบายให้เป็นหลักธรรมแห่งความรักหรือแห่ง-อะไรได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว
ถ้าปีนี้ค้นคว้ามาแสดงไม่ทันก็ไม่เป็นไร ปีหน้าวันวาเลนไทน์ก็มีอีก และปีหน้าวันมาฆบูชาก็ยังมีอีก มีเวลาเตรียมตัวตั้งปีหนึ่งเต็มๆ แต่ถ้าจะให้ดี ไม่ต้องรอวันพิเศษแบบนั้นเลย เราสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้และนำมาเผยแผ่ให้แพร่หลายได้ทุกวันอยู่แล้วมิใช่หรือ
นอกจากไม่ต้องเอาโอวาทปาติโมกข์ไปซุกใต้ปีกวันวาเลนไทน์แล้ว ยังเป็นการปลดแอกค่านิยม-สนใจอะไรๆ กันแค่วันเดียว อย่างที่คนไทยกำลังนิยมกันอยู่นี่ด้วย
ให้กำลังใจกันและกันนะครับ
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕, ๑๙:๔๕
0 comments: