ให้ ปชช.มี "สติปัญญา" ตามรอยพระบาท พระธรรมเทศนา "สมเด็จพระสังฆราช" ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
สมเด็จพระสังฆราชแสดงพระธรรมเทศนา พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ ขอประชาชนตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีสติและปัญญา ดำรงตนด้วยความไม่ประมาท ทำคุณประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ย่อมทำให้พระองค์ทรงอิ่มพระราชหฤทัย
วันนี้ (26 ต.ค.) ที่พระที่นั่งทรงธรรม มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ถวายพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประมุขและผู้แทนรัฐ พระบรมวงศานุวงศ์ มีใจความโดยสรุปว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรทรงดำรงพระชนมชีพด้วยพรหมวิหารธรรม คือมีพระเมตตากรุณาต่อพระประยูรญาติ พระบรมวงศานุวงศ์ และอาณาประชาราชโดยไม่แบ่งแยก ตามพระปฐมพระบรมราชโองการ หากทรงทราบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคุ้มครองประชาชนโดยธรรม และประชาชนน้อมนำพระปัญญาของพระองค์มาปฏิบัติ สามารถพึ่งพาตนเอง มีสติปัญญาและคุณธรรมคงความผาสุก ย่อมอิ่มพระราชหฤทัย
พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังแสดงพระธรรมเทศนาอีกว่า สังขารเปรียบเหมือนบ้านเรือน เป็นของสวยงามแตกต่างกัน นอกจากธรรมะไม่มีอะไรที่จะแบ่งสรีระให้ดีชั่วสูงต่ำได้ หากผู้ครองสังขารเป็นผู้มีธรรมะ สังขารก็จะเป้นบ้านเรือนของผู้ประเสริฐ
สำหรับธรรมะที่จะทำให้พ้นจากทุกข์ได้คือ สติปัญญา หากขาดสติปัญญา สังขารย่อมปรุงแต่งจิตให้เป็นจิตแห่งความโลภ โกรธ และหลง อันเป็นมูลเหตุในการพูดและกระทำความชั่วทุกชนิดในทันที และปัญญาจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีสติเกิดด้วยทุกครั้ง ดังนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น ต้องเป็นเรื่องของสติและปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการรู้ระลึกสภาวะธรรมตามความเป็นจริง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระสติระลึกรู้ จึงทรงดำรงพระชนมชีพอย่างสง่าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยปัญญา สรุปประมวลได้ว่า พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในชีวิต พระบุญญาธิการจึงไพบูลย์ ประชาชนควรตามรอยพระยุคลบาทให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทและทำประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เพื่อพระผู้เสด็จจากไปจักได้ทรงอิ่มพระราชหฤทัยว่า กิจอันต้องกระทำ ได้กระทำเสร็จแล้ว และย่อมทรงบันเทิงทิพยารมณ์อย่างไม่ต้องสงสัย สมดังนัยยะพระพุทธภาษิตที่ว่า บุคคลผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้ว ก็ย่อมยินดี คือย่อมยินดีในโลกทั้งสอง ย่อมยินดีว่าบุญเราได้ทำไว้แล้ว ครั้นไปสู่สุคติแล้วก็ย่อมยินดีกว่านี้อีกด้วยประการฉะนี้
พระธรรมเทศนาพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพีระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แม้เสด็จสวรรคตล่วงลับไปกว่า 1 ปีแล้ว ก็เหมือนยังทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่ผู้รำลึกถึง ในเวลาคำนึงถึงพระราชคุณูปการ จะรู้สึกเหมือนได้รับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์โดยตรง เฉกเช่นบัณฑิตผู้ทรงความปรีชาย่อมปรารภความอย่างเดียวกัน สรรเสริญพระบรมศาสดา แม้พระองค์เสด็จปรินิพพานนานมาแล้ว ก็ดุจปรากฏอยู่โดยความเป็นอตีตารมณ์ คือคำนึงเห็นแม้ล่วงไปแล้วยังอยู่ด้วยพระคุณทั้งหลาย อันจะพึงรู้สึกได้ด้วยใจ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรทรงถนอมอุปการะพระราชโอรส พระราชธิดา พระราชนัดดา และพระราชปนัดดา ตามหน้าที่แห่งสมเด็จพระราชบุพการีตลอดมา พระทายาทที่ทรงพระเจริญแล้ว พอจะทรงพระอุเบกขาได้ ก็ยังมีพระราชหฤทัยจดจ่อด้วยพระเมตตากรุณา สมด้วยพระพุทธภาษิตว่า
พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาชื่อว่าเป็นพรหมของบุตร ก็พรหมมีเมตตากรุณาเป็นธรรมะเครื่องอยู่ฉันใด พระองค์ย่อมทรงพระเมตตาปรารถนาสุขและทรงพระกรุณาวิตกวิจารณ์จากเรื่องทุกข์ของพระทายาทฉันนั้น แต่พรหมวิหารธรรมของพระองค์หาได้เผื่อแผ่จำกัดเฉพาะแก่ในเฉพาะประยูรญาติเท่านั้น แม้พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังเผื่อแผ่ไปด้วย และเผื่อแผ่ตลอดโดยตรงถึงอาณาประชาราชทุกหมู่เหล่าทุกเชื้อชาติศาสนา ทุกเพศและทุกวัย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ บรรดาที่ควรจะทรงสงเคราะห์ได้ด้วยสถานใดๆ ก็ทรงสงเคราะห์ด้วยสถานนั้นๆ กล่าวอย่างสั้นคือ ทรงดำรงพระชนมชีพเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวไทยและชาวโลก ต้องตามพระปฐมพระบรมราชโองการทุกประการ
หากทรงทราบด้วยพระญาณวิถี เมื่อสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าได้ทรงรับสิริราชสมบัติจะทรงคุ้มครองประชาชนโดยธรรม และหากทรงทราบโดยพระญาณวิถีว่า ประชาชนที่พระองค์ทรงห่วงนั้น จะสามารถน้อมนำพระปัญญาญาณไปบันดาลชีวิตของตนให้อยู่ดีมีสุข พึ่งพาตนเองได้ เป็นพลเมืองดี มีสติปัญญาและคุณธรรมพรั่งพร้อมยังคงความผาสุขร่มเย็นอย่างยั่งยืน ย่อมทรงอิ่มพระราชหฤหัย ดุจดังพระบรมศาสดา ทรงกระทำพุทธกิจแก่พระสาวก ทรงอิ่มพระพุทธกมลแล้วเปล่งพระวาจาว่า กิจใดศาสดาผู้กรุณาแสวงหาประโยชน์พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกท่านทุกประการดังนี้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ประทานพระปัจฉิมโอวาทว่า "
หนฺททานิ ภิกฺขเว อามันฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ" ความว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลาย สังขารมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ต่อตนและผู้อื่นให้ล้นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท
สังขารหรือสภาพแห่งร่างกายและจิตใจอันถูกปรุงแต่งขึ้น เปรียบเหมือนบ้านเรือน เป็น "
อัพยากตธรรม" ไม่จัดเป็นบุญเป็นบาป อย่างดีเพียงที่ปรากฏและเห็นอยู่ภายนอก เป็นของสวยของงามแตกต่างกันบ้างก็เท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ผู้อยู่ในบ้านเรือนนั้นต่างหากว่าเป็นใคร ถ้าเป็นผู้ประเสริฐบ้านนั้นก็เป็นบ้านของผู้ประเสริฐ เช่น ถ้าเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม สถานที่นั้นก็เป็นพระราชวังอันพึงเคารพ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นที่อยู่ของโจรผู้ร้าย สถานที่นั้นก็เป็นที่น่ารังเกียจไม่น่าเข้าใกล้ สังขารหรือสรีระก็เช่นเดียวกัน นอกจากธรรมะ ไม่มีอะไรที่จะแบ่งสรีระให้ดีชั่วสูงต่ำได้ แม้ยังยึดมั่นในตัวเราของเราอยู่ก็พึงทำตัวเราหรือผู้ครองนั้นให้เป็นผู้มีธรรมะ อบรมคุณธรรมให้สมบูรณ์ รู้จักเกื้อกูลผู้อื่น ทำชีวิตให้มีสาระ ไม่เสียเปล่า เพื่อให้สมควรแก่การครองอัตภาพที่มีแต่ความเสื่อมสลายแตกดับไปทั้งสิ้นตามธรรมดาของสังขาร ที่จะพึงสามารถเอาสาระประโยชน์จากธรรมดา มาเป็นของหลีกพ้นจากทุกข์ได้ แล้วธรรมะใดเล่าจะเป็นของที่จะนำไปพ้นจากทุกข์ได้
ธรรมะที่จะทำให้เกิดพ้นจากทุกข์ได้คือ สติปัญญา โดย "สติ" คือ ความระลึกได้ที่จะเป็นเครื่องช่วยอุปการะให้มีปัญญหา หากบุคคลขาดสติปัญญาเสียแล้ว สังขารย่อมปรุงแต่งจิตให้เป็นจิตแห่งความโลภ จิตแห่งความโกรธ และจิตแห่งความหลง อันเป็นมูลเหตุในการพูดและกระทำความชั่วทุกชนิดในทันที สติย่อมเกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภท สติจึงมีหลายระดับขั้น ทั้งที่เป้นไปในการให้ทาน ในการรักษาศีล และในการอบรมความสงบของจิต กระทั่งก้าวไปสู่มหาสติในการอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของรูปธรรมและนามธรรมอันเป็นสภาพทุกข์ที่กำลังปรากฏ ซึ่งล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน พลันประจักษ์ความว่างจากตัวตน สัตว์ บุคคลเราเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติในทุกขณะ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็จำเป็นต้องมีสติเกิดด้วยทุกครั้ง ดังนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น ต้องเป็นเรื่องของสติและปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการรู้ระลึกสภาวะธรรมตามความเป็นจริง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระสติระลึกรู้ จึงทรงดำรงพระชนมชีพอย่างสง่าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยปัญญา
สรุปประมวลได้ว่า พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในชีวิต พระบุญญาธิการจึงไพบูลย์ควรที่เราทั้งหลายผู้ยังอยู่เบื้องหลังจะเคร่งทำประโยชน์ตนและประโยชน์ส่วนรวมตามรอยพระยุคลบาทให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท เพื่อพระผู้เสด็จจากไปจักได้ทรงอิ่มพระราชหฤทัยว่า "กะตัง กะระณียัง" กิจอันต้องกระทำ ได้กระทำเสร็จแล้ว และย่อมทรงบันเทิงทิพยารมณ์อย่างไม่ต้องสงสัย สมดังนัยยะพระพุทธภาษิตที่ว่า บุคคลผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้ว ก็ย่อมยินดี คือย่อมยินดีในโลกทั้งสอง ย่อมยินดีว่าบุญเราได้ทำไว้แล้ว ครั้นไปสู่สุคติแล้วก็ย่อมยินดีกว่านี้อีกด้วยประการฉะนี้
ที่มา :
mgronline , ที่มาของภาพ :
พัดยศ สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย