อวิชชาพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ามีวิจิกิจฉาเป็นศีรษะ
จริงอยู่ ความมืดมน ความหลงลืม และโอฆะ (กิเลสที่ท่วมทับจิตใจของหมู่สัตว์) คืออวิชชา จัดเป็นภัยใหญ่ เพราะเหตุนั้น อวิชชา จึงชื่อว่าตมะ (ความมืด, ความเศร้าหมอง, ความเขลา) ตมะ (ความมืด) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ามีวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) เป็นศีรษะ
ดังพระบาลีว่า
ตมนิทฺเทเส วิจิกิจฺฉาสีเสน อวิชฺชา กถิตา ฯ "ตมนฺธกาโร, สมฺโมโห, อวิชฺโชโฆ มหพฺภโย"ติ วจนโต หิ อวิชฺชา ตโม นาม ฯ
แปลว่า
“อวิชชาพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยความมีวิจิกิจฉาเป็นศีรษะ ฯ จริงอยู่ เพราะพระบาลีว่า “ความมืดมน ความหลงลืม โอฆะคืออวิชชา เป็นภัยใหญ่ ดังนี้ เพราะเหตุนั้น อวิชชา จึงชื่อว่าตมะ ฯ
เพราะฉะนั้น จงตัดความเคลือบแคลงสงสัย ๘ ประการต่อไปนี้ ออกจากจิตใจเสียเถิด คือ
๑. สงสัยในพระพุทธเจ้า (ว่าพระพุทธเจ้ามีตัวตนจริงหรือ พระพุทธเจ้ามีพระพุทธคุณจริงหรือ)
๒. สงสัยในพระธรรม (ว่ามรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มีจริงหรือ พระธรรมนี้จะนำให้ออกจากทุกข์ได้จริงหรือ)
๓. สงสัยในพระสงฆ์ (ว่าพระอริยสงฆ์มีจริงหรือ ผลแห่งทานที่ถวายแก่พระสงฆ์มีจริงหรือ)
๔. สงสัยในสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา ว่ามีจริงหรือ ผลานิสงส์แห่งการศึกษาปฏิบัติในสิกขา ๓ นี้มีจริงหรือ)
๕. สงสัยในขันธ์ที่เป็นอดีต (สงสัยชาติที่แล้วมีจริงหรือ)
๖. สงสัยในขันธ์ที่เป็นอนาคต (สงสัยว่าชาติหน้ามีจริงหรือ)
๗. สงสัยในขันธ์ที่เป็นอดีตและอนาคต (สงสัยว่าชาติที่แล้วและชาติหน้ามีจริงหรือ)
๘. สงสัยในปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลอาศัยกันเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปโดยไม่ขาดสายเลยนั้นมีจริงหรือ)
สาระธรรมจากอรรถกถา วิภังคปกรณ์ ขุททกวัตถุวิภังค์ ติกนิเทศ (ตมนิทเทส)
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ) วัดสามพระยา กรุงเทพ ฯ