วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ - ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม. (พระธรรมเทศนาโดย พระมงคลเทพมุนี)


ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ - ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม 
พระธรรมเทศนาโดย พระมงคลเทพมุนี 12 มกราคม 2497

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ
ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ
เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ
น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารีติ.

"มากอยู่แล้วพวกที่ปฏิบัติใช้ได้ทีเดียว  ที่ใช้ไม่ได้อย่างสูงนั้น  ผู้เทศน์ต้องคอยคุม   ถ้าไม่คุมละก้อ ไปสูงไม่ได้  มารมันปัดลงต่ำเสีย   มันแนะนำให้วางเป้าหมายใจดำเสีย ไม่จรดอยู่ที่เป้าหมายใจดำ   ที่ผู้เทศน์คอยคุมไว้ละก้อ ถูกเป้าหมายใจดำ  ตรงกันข้ามกับพวกพญามาร  ถ้าว่าไม่คุมไว้แล้ว  เป็นลูกศิษย์พญามารเสียแล้ว  มารเอาไปใช้เสียแล้วอย่างนี้มาก  เหตุนั้นเมื่อมาพบของจริงเช่นนี้แล้ว  ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ควรปล่อยชีวิต  ค้นเอาของจริง รักษาของจริงไว้ให้ได้  เมื่อได้แล้วละก็  จะยิ้มในใจของตัวอยู่เสมอไป  ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ

ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา ว่าด้วย ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม  ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา  ตามมตยาธิบาย  กว่าจะยุติลงโดยสมควรแก่เวลา 

เริ่มต้นแห่งธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรม  ตามวาระพระบาลีว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมนั่นแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม    ธมฺโม สุจิณฺโน สุขมาวหาติ ธรรมที่บุคคลสั่งสมไว้ดีแล้ว นำความสุขมาให้ เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ ข้อนี้แหละเป็นอานิสงส์ในธรรม น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ผู้ประพฤติธรรมดีเรียบร้อยไม่ไปสู่ทุคติ    นี่เนื้อความของพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาได้ความเพียงแค่นี้

ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายขยายความว่า   ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมนั้นเป็นไฉน   เพราะธรรมคือความดี  จะขีดขั้นลงไปเพียงแค่ไหน   ความดีไม่มีความชั่วเข้าเจือปนเลย   นี่ก็เป็นโลกุตตรธรรมแท้ๆ  ข้ามขึ้นจากโลก  เป็นวิราคธาตุวิราคธรรมแท้ๆ  ไม่เกี่ยวข้องด้วยสราคธาตุ สราคธรรมทีเดียว   นี้ส่วนหนึ่ง คำว่าธรรมแยกออกเป็นหลายประการ ท่านแสดงไว้เป็นหลักเป็นประธาน  แก้ในศัพท์ว่าธรรม  ธมฺโม คำว่าธรรมนั้นแยกออกไปถึง 4 คือ คุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม นิสสัตตนิชชีวธรรม   แยกออกไปเป็น 4

1. คุณธรรมให้ผลตามกาล ฝ่ายดีก็ให้ผลเป็นสุข ฝ่ายชั่วก็ให้ผลเป็นทุกข์ นี้ก็เป็นคุณธรรมฝ่ายดีฝ่ายชั่ว  หรือดีฝ่ายเดียวให้ผลเป็นสุขฝ่ายเดียวนั้นก็เรียกว่าคุณธรรม

2. เทศนาธรรมที่พระองค์ตรัสเทศนา ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง  ไพเราะในเบื้องปลายท่านวางหลักไว้   ไพเราะในเบื้องต้นคือศีล  บริสุทธิ์กายวาจาเรียบร้อยดีไม่มีโทษ  ตลอดจนกระทั่งถึงดวงศีล ไพเราะในท่ามกลางคือสมาธิ ตลอดจนกระทั่งถึงดวงสมาธิ   ไพเราะในเบื้องปลายคือปัญญา ตลอดจนกระทั่งถึงดวงปัญญา นี้ก็คือเทศนาธรรม

3. ปริยัติธรรม ข้อปฏิบัติอันกุลบุตรจะพึงเล่าเรียนศึกษา  ตั้งต้นแต่นักธรรมตรี-โท-เอก เปรียญ 3-4-5-6-7-8-9 หลักสูตรวางไว้ในประเทศไทย  การศึกษาปริยัติธรรมมีเท่านี้  นี่ที่เรียกว่าปริยัติธรรม

4. นิสสัตตนิชชีวธรรม ยกเอารูปออกเสีย  กับวิญญาณออกเสีย เหลือแต่เวทนา สัญญา สังขาร 3 อย่างนี้ท่านจัดเป็นนิสสัตตนิชชีวธรรม  ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่ชีวิต  แสดงหลักไว้ดังนี้

แสดงธรรมออกไปเป็น 4 คือ คุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม นิสสัตตนิชชีวธรรม แสดง 4 ดังนี้ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม   แต่คำว่าธรรมนี้ แสดงตามแบบปริยัติ   ไม่ใช่หนทางปฏิบัติ   แบบทางปฏิบัติ ศาสนามี 3 ทาง คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ถ้าแบบทางปฏิบัติ  คำว่าธรรม  กล่าวถึงดวงธรรมทีเดียว  ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่  เป็นดวงธรรมทีเดียว  เป็นธรรมแท้ๆ  ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์-มนุษย์ละเอียด   กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด  กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด  กายอรูปพรหม-กายอรูปพรหมละเอียด   กายธรรม-กายธรรมละเอียด กายโสดา-กายโสดาละเอียด  สกทาคา-สกทาคาละเอียด   อนาคา-อนาคาละเอียด  อรหัต-อรหัตละเอียด  เรียกว่า ธมฺโม นี่ทางปฏิบัติ  เป็นดวงใสบริสุทธิ์ ธรรมดวงนั้นเป็นธรรมสำคัญ  ทว่าหลักก็ธรรม  อันนั้นเป็นธรรมทีเดียว

ธรรมนั้นถ้าว่าจะแยกออกไป   ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ที่จะได้ธรรมดวงนั้นมา   ต้องกล่าวเริ่มแรก  มนุษย์หญิงชายทุกถ้วนหน้า   ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิต บริสุทธิ์สนิททั้งกาย วาจา จิต  ไม่มีผิดจากความประสงค์ของพระพุทธเจ้าอรหันต์เลย  บริสุทธิ์สนิททั้งกาย วาจา จิต ไม่ฆ่าสัตว์  แต่เวทนาปรานีต่อสัตว์   ลักทรัพย์สมบัติก็ไม่มี   มีแต่ให้สมบัติของตนแก่คนอื่น   ประพฤติล่วงผิดในกามก็ไม่มี  หรือประพฤติล่วงอสัทธรรมประเพณีก็ไม่มีดังนี้   สนิททีเดียว  พูดจริงทุกคำไม่มีปด  เสพสุรายาเมาเป็นที่ตั้งของความประมาทไม่มี  วัตถุที่ทำให้เมาเป็นที่ตั้งของความประมาทก็ไม่ใช้สอย  ในศีลทั้ง 5 นี้ตลอด  ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ตลอด  สะอาดสะอ้านทั้งกาย  กายก็ไม่มีร่องเสีย  วาจาก็ไม่มีร่องเสีย  ใจก็ไม่มีร่องเสีย  ใช้ได้ทั้งกาย วาจา ใจ ตรงกับบาลีกล่าวไว้ว่า

สพฺพปาปสฺส อกรณํ ชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ไม่กระทำเป็นเด็ดขาด
กุสลสฺสูปสมฺปทา ดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำจนสุดสามารถ
สจิตฺตปริโยทปนํ ทำใจของตนให้ผ่องใส

อันนี้เมื่อบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่มีร่องเสียแล้ว  นี้เรียกว่าธรรมโดยทางปริยัติ  ยังไม่ใช่ทางปฏิบัติ ถ้ากลั่นเข้ามาถึงเจตนา  เจตนาก็บริสุทธิ์  บังคับกายบริสุทธิ์  บังคับวาจาบริสุทธิ์  บังคับใจบริสุทธิ์  นั่นก็เป็นทางปริยัติอยู่เลย  ยังไม่ใช่ทางปฏิบัติ  เข้าถึงทางปฏิบัติ เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  สำเร็จมาจากบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ  สำเร็จมาจากบริสุทธิ์ เจตนา เป็นดวงใสเท่าฟองไข่แดงของไก่  ใสเป็นกระจกส่องเงาหน้า  เท่าฟองไข่แดงของไก่   นี่  ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์เป็นดวงๆ  ไปอย่างนี้  

-ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์โตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียดโตขึ้นไปอีกเท่าหนึ่งเป็น 8 เท่าฟองไข่แดงของไก่นั้น  เรียกว่าเป็นธรรมทั้งนั้น
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมหน้าตักวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียดโตขึ้นไปอีก 5 วา
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา 5 วา กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดาละเอียด 10 วา  กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคา 10 วา กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคาละเอียด 15 วา กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคา 15 วา กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคาละเอียด 20 วา กลมรอบตัว
-ธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัต 20 วา กลมรอบตัว เป็นลำดับกันไปอย่างนี้

นั้นแหละเรียกว่า ธมฺโม ลึกอย่างนี้ นี่ทางปฏิบัติเห็นปรากฏชัด  เข้าถึงธรรมดังกล่าวแล้วนี้ ตั้งแต่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ไปจนกระทั่งถึงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตทีเดียว  นั่นแหละคำที่เรียกว่า ธมฺโม ละ  นั่นแหละธาตุธรรมอันนั้นแหละรักษาผู้ประพฤติธรรมละ  ถ้าเห็นเข้าแล้วก็รักษาผู้นั้นไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว อย่าทิ้งท่านก็แล้วกัน  อย่าผละจากท่าน   ถ้าว่าห่างจากธรรมนั้นไม่รับรอง   ถ้าติดอยู่กับธรรมนั้น รับรองทีเดียว ทั้งกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์  ไม่มีร่องเสียกัน เสียไม่มีกัน   ถ้าว่าไปเสียเข้าดวงธรรมนั้นเศร้าหมอง ขุ่นมัว ไม่ผ่องใส   ลงโทษเอาเจ้าของผู้ประพฤติผู้กระทำ  ถ้าไม่ล่วงล้ำแต่อย่างหนึ่งอย่างใดสะอาดสะอ้าน ก็ใสหนักขึ้นทุกที   ใจหยุดนิ่งหนักขึ้น ใสหนักขึ้น นั่นแหละ    ธมฺโม ละ คำที่เรียกว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมดวงนั้น  ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมดวงนั้น

เมื่อเข้าใจดังนี้แล้วจะแสดงต่อไป  ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมดวงนั้นแหละ   ถ้าว่าสั่งสมได้ดีแล้วสะอาดหนักขึ้น เสมอตัว   สะอาดหนักขึ้นใสหนักขึ้น เสมอตัว   ใสไปแค่ไหน เสมอตัวไปแค่นั้น  ใสหนักขึ้นไปแล้วเสมอตัวไปแค่นั้น    ใสหนักขึ้นไปเสมอตัวไปแค่นั้นอีก   อย่างขนาดอย่างนี้เรียกว่าสั่งสมดีจริง ธรรมอันบุคคลสั่งสมดีแล้ว   สุขาวหาติ นำความสุขมาให้  ถ้าอยู่กับใครขนาดนี้ ใจก็เบิกบานรื่นเริงบันเทิงชื่นแช่มแจ่มใส   ไม่มีความทุกข์เศร้าหมองขุ่นมัวใดๆ  เพราะธรรมนั้นนำความสุขมาให้  นี่หลักของธรรมที่แสดงไว้แค่นี้   เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดี  ประพฤติดีขนาดนี้ก็ได้อานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดี   ประพฤติดีขนาดนี้ก็ได้อานิสงส์แล้วก็เป็นสุขทีเดียว    น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ประพฤติไปอย่างนั้น มั่นคงอย่างนั้น ไม่ไปสู่ทุคติ    ผู้ประพฤติเรียบร้อยเช่นนั้นดี สะอาดสะอ้านเช่นนั้น ไม่ไปสู่ทุคติเด็ดขาดทีเดียว   ตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์  เป็นมนุษย์อยู่ก็ไม่ได้รับทุคคติ มีแต่ สุคติฝ่ายเดียว  นี่แหละเลือกเอาเถอะ   ให้รู้จักหลักจริงอย่างนี้

รู้จักหลักจริงอันนี้ เราเป็นภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี อุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี  ประพฤติดีจริงตรงเป้าหมายใจดำ  [ถ้า] เห็นดวงแก้วใสเช่นนี้ ไม่ค่อยจะได้ ภิกษุหรือสามเณรก็เลอะเลือนไป  อุบาสกอุบาสิกาก็เหลวไหลไป ไม่อยู่กับธรรมเนืองนิตย์   ความสุขเราปรารถนานัก แต่ว่าความประพฤติไขว้เขวไปเสียอย่างนี้   อย่างนี้หลอกตัวเองนี่  ถ้าลงหลอกตัวเองได้  มันก็โกงคนอื่นเท่านั้น  ไม่ต้องไปสงสัย

หลอกตัวเองเป็นอย่างไร  ตัวอยากได้ความสุข แต่ไปประพฤติทางทุกข์เสีย  มันก็หลอกตัวเองอยู่อย่างนี้ละซิ  ตัวเองอยากได้ความสุขแต่ความประพฤตินั่นหลอกตัวเองเสีย ไปทางทุกข์เสีย   มันหลอกอยู่อย่างนี้นี่  ใครเข้าใกล้ มันก็โกง โกงทุกเหลี่ยมนั่นแหละ  ถ้าลงหลอกตัวเองได้   มันก็โกงคนอื่นได้  ไว้ใจไม่ได้ทีเดียว  เหตุนี้พุทธศาสนาท่านตรง  ตรงตามท่านละก้อ  มรรคผลไม่ไปไหน อยู่ในเงื้อมมือ  อยู่ในกำมือทีเดียว  พุทธศาสนาท่านตรง  แต่ว่าผู้ปฏิบัติไม่ตรงตามพุทธศาสนา   มันก็หลอกลวงตัวเอง  โกงคนอื่นเท่านั้น  นี่หลักจริงเป็นอย่างนี้   ให้จำไว้ให้มั่น  ท่านได้ยืนยันอีกในอัคคัปปสาทสูตร ว่า  

อคฺคโต เว ปสนฺนานํ  อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ
อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ  อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ
อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ   อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ
อคฺคสฺส ทาตา เมธาวี  เทวภูโต มนุสฺโส วา
อคฺคํ ธมฺมํ วิชานตํ   ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร
วิราคูปสเม สุเข  ปุญฺญกฺเขตฺเต อนุตฺตเร
อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ  ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ
อคฺคธมฺมสมาหิโต   อคฺคปฺปตฺโต ปโมทตีติ.

นี่วางหลักอีกหลักหนึ่ง  แปลเป็นภาษไทยว่า   เมื่อบุคคลรู้จักธรรมอันเลิศ  เลื่อมใสแล้วด้วยความเป็นของเลิศ เลิศอย่างไร ?  รู้จักธรรมอันเลิศนั้น  ธรรมอะไร ?   ธรรมอันเลิศคือธรรมที่แสดงมาแล้วเป็นธรรมอันเลิศทั้งนั้น  ถ้าว่าเลื่อมใสโดยความเป็นของเลิศ  ไม่ปล่อยไม่วางไม่ละกันละ  เข้าถึงก็จรด  ไม่ปล่อยไม่วางกันละ  จรดไม่วางไม่ปล่อย   วางกึกลงไปตั้งแต่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์   ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดเรื่อยเข้าไป   จนกระทั่งได้ขึ้นไปถึงแค่ไหน   ดวงไหนไม่ปล่อยไม่ละกันละ ใจจรดอยู่กลางดวงนั่นแหละ  ถ้าจรดอยู่ขณะนั้นละก้อ  เลื่อมใสโดยความเป็นของเลิศละ   ของเลิศก็ต้องไม่ปล่อย  ถ้าปล่อยมันก็ไม่เลิศ  ไม่ปล่อยกันละ  คว้ากันแน่นทีเดียวดวงนั้น   ตลอดตั้งแต่ดวงต้นจนกระทั่งถึงดวงพระอรหัต  ได้แค่ไหนยึดแค่นั้น  มั่นเป็นขั้นๆ ไป   เมื่อรู้จักธรรมอันเลิศ   เลื่อมใสแล้วโดยความเป็นของเลิศ   ทีนี้ก็เป็นชั้นๆ ไป

อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ  ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ คือ ธรรมกายทีเดียว ธรรมกายโคตรภู-ธรรมกายโคตรภูละเอียด  ธรรมกายโสดา-โสดาละเอียด ธรรมกายสกทาคา-สกทาคาละเอียด   ธรรมกายอนาคา-อนาคาละเอียด  ธรรมกายอรหัต- อรหัตละเอียด นั่นแหละ ธรรมกายนั่นแหละพระพุทธเจ้าผู้เลิศละ เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้านั้น เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร   ซึ่งเป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอดเยี่ยม  ทักขิไณยบุคคลเป็นอย่างไร  ถ้าใครได้ไปทำบุญทำกุศลกับท่านเข้า  ผลได้ในปัจจุบันทันตาเห็น ได้เป็นเศรษฐีคหบดีทีเดียว ได้เป็นกษัตริย์เศรษฐีทีเดียว  ได้สมบัติในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว นั่นแหละเป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอดเยี่ยมอย่างนั้น

อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ  วิราคูปสเม สุเข ซึ่งเป็นธรรมปราศจากยินดี  สงบสุข  สงบเป็นสุข  นั่นแหละ  ดวงนั้นตลอดขึ้นไปนั่นแหละ  อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ซึ่งเป็นธรรมอันปราศจากกำหนัดยินดีสงบสุข เมื่อเข้าไปอยู่ในกลาง ดวงนั้นแล้ว หมดความกำหนัดยินดี  สงบ ระงับ เป็นสุขแสนสุขทีเดียว  ทุกดวงไป ตั้งต้นแต่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  เมื่ออยู่กลางดวงนั้นแล้วความกำหนัดยินดีไม่มี  สงบ ระงับ  เป็นสุขทีเดียว  ถ้าว่าต้องการสุขละก้อ ไปอยู่นั่น  ถ้าว่าต้องการทุกข์ละก้อ  ออกมาเสีย ก็ได้รับทุกข์   ต้องการสุขก็เข้าไปอยู่กลางดวงธรรมนั่น ทุกดวงไปเป็นสุขแบบเดียวกันหมด  ที่ปรากฏว่า วิราคูปสเม สุเข ซึ่งเป็นธรรมปราศจากยินดี สงบระงับ เป็นสุข

อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ เลื่อมใสในพระสงฆ์อันเลิศ   ธรรมกายละเอียด กายมนุษย์ละเอียด-กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมละเอียด-กายอรูปพรหมละเอียด  นี่เป็นหมู่ของชน  เป็นหมู่ของมนุษย์  ธรรมกายละเอียดของโคตรภู ธรรมกายละเอียดของโสดา ธรรมกายละเอียดของสกทาคา  ธรรมกายละเอียดของอนาคา  ธรรมกายละเอียดของพระอรหัตนี่แหละ  อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ เลื่อมใสในพระสงฆ์อันเลิศ   ปุญฺญกฺเขตฺเต อนุตฺตเร ซึ่งเป็นบุญเขตอย่างยอด  พระสงฆ์เป็นบุญเขตอย่างยอด  ถ้าใครได้บริจาคกับพระสงฆ์หรือได้ไปเลื่อมใสใน  พระสงฆ์เข้าก็ได้ผลปัจจุบันได้ผลเป็นมหัศจรรย์ทีเดียว เป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอด  อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ ได้ถวายทานในท่านผู้เลิศแล้ว  อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ บุญอันเลิศย่อมเจริญ ได้ถวายทานในพระพุทธเจ้า  ได้ถวายทานในธรรม   ได้ถวายทานในพระสงฆ์   ในท่านผู้เลิศเหล่านั้น   บุญอันเลิศย่อมเจริญ  ได้สมบัติปัจจุบันทันตาเห็น  ไม่อย่างนั้นละโลกนี้ไปแล้วก็ได้สมบัติในเทวโลก พรหมโลก สมมาดปรารถนา ได้ผลทีเดียว  อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ อายุ วรรณะ  อายุ คือมีอายุยืน  วรรณะ ผิวพรรณวรรณะแห่งร่างกายงดงามเป็นของที่เลิศ ย่อมเจริญแก่เขาที่ได้ถวายทานนั้น    ยศ เกียรติคุณ ความสุขและกำลังอันเลิศ ก็ย่อมเจริญแก่เขา   อคฺคสส ทาตา เมธาวี ผู้มีปัญญาได้ถวายทานแก่ท่านผู้เลิศแล้ว อคฺคธมฺมสมาหิโต ตั้งอยู่ในธรรมอันเลิศ   เทวภูโต มนุสฺโส วา จะไปเกิดเป็นเทวดาหรือว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์   อคฺคปฺปตฺโต ปโมทติ ย่อมถึงเป็นผู้เลิศบันเทิงอยู่ เกิดเป็นเทวดาก็ได้เกิดในวิมานทีเดียว   จะเกิดเป็นมนุษย์  ก็เกิดในปราสาททีเดียว   ถึงซึ่งความเป็นผู้เลิศบันเทิงอยู่   ไม่ต้องทำไร่ไถนา ค้าขายใดๆ   เกิดในกองสมบัติทีเดียว   นี่เป็นหลักยืนยันว่าธรรมนั่นแหละ ย่อมรักษาผู้ประพฤติได้จริงอย่างนี้ ไม่คลาดเคลื่อน  อย่าไปต้องสงสัยอะไรเลย   อย่าระแวงอะไรเลย  ถ้าไม่สงสัย ก็ให้มั่นอยู่ในธรรม จะทำอะไรก็ช่าง

    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสหรือไม่
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด ใสหรือไม่   ถ้าใสเข้าอยู่เวลาใด  ได้เวลานั้น
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ใสหรือไม่   ถ้าใส เข้าอยู่เวลาใดได้เวลานั้น
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ใสหรือไม่   ถ้าใส เข้าอยู่เวลาใดได้เวลานั้น
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ใสหรือไม่   ถ้าใส
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด ใสหรือไม่  ถ้าใส
    ดวงธรรมที่ทำให้ เป็นกายอรูปพรหมใส หรือไม่ ถ้าใส
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ใสหรือไม่ ถ้าใส
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมใสหรือไม่ ถ้าใส เข้าอยู่ในเวลาใด ได้เวลานั้น

ตลอดกายธรรมละเอียด กายธรรมโสดา-โสดาละเอียด กายธรรมสกทาคา-สกทาคาละเอียด  กายธรรมอนาคา-อนาคาละเอียด กายธรรมพระอรหัต-อรหัตละเอียด นี่แหละเรียกว่า ธมฺมวิหารี ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ หรือ สุขธมฺมวิหารี ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข  อยู่ในกลางดวงธรรมนั้น จะปฏิบัติให้ถูกหลักพระพุทธศาสนา หลักพระพุทธศาสนาอยู่ในกลางดวงธรรมนั้น ไม่ได้อยู่ที่อื่น   หลักพระพุทธศาสนาไม่มีอื่น  มีดวงศีล สมาธิ ปัญญา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อจัดออกมาทางกายวาจาไปอีกเรื่องหนึ่ง   จัดไปทางเจตนาก็อีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าจัดเข้าไปในดวงธรรม ก็คือดวงศีลทีเดียว  เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ใสบริสุทธิ์สนิท  เมื่อเป็นมนุษย์ก็ปฏิบัติอยู่ในดวงธรรม  ดวงศีลนั่น  ที่จะเข้าถึงดวงศีลต้องเข้าถึงดวงธรรมก่อน ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงเอกายนมรรค  เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน และหยุดอยู่กลางดวงธรรมนั่นแหละ นี่จะปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาละ  ปฏิบัติทางธรรม  ได้หลักแล้ว ได้หลักศาสนาแล้ว ปฏิบัติทางธรรมต่อไป ปฏิบัติทางธรรมก็ต้องให้มั่นคง

   ใจนิ่งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ใจหยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอหยุดก็หยุดในกลางดวง ของกลาง กลางของกลางๆๆๆ พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงศีล

    หยุดอยู่กลางศีล พอถูกส่วนเข้า ก็กลางของกลางใจที่หยุดนั่นแหละ ก็เข้าถึงดวงสมาธิ
    หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ พอหยุดเข้า กลางของหยุด กลางของกลางๆๆๆ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงปัญญา

    หยุดอยู่กลางดวงปัญญา เข้ากลางของหยุด กลางของกลางถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงวิมุตติ
    หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ  พอหยุดเข้าก็กลางของกลางๆๆ พอหยุดถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ

    หยุดอยู่ศูนย์กลางของดวงวิมุตติญาณทัสสนะ  พอถูกส่วนเข้ากลางของกลางๆๆๆๆๆ  ก็เห็นกายมนุษย์ละเอียด

ดำเนินไปในกายมนุษย์ละเอียดแบบนี้แหละ  ก็จะเข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม-รูปพรหมละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม-กายธรรมละเอียด เป็นลำดับขึ้นไปทั้ง 18 กาย ถึงตลอดแบบเดียวกันนี้

นี่ปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา คือ ไปทางศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติเข้าไปข้างใน   ถ้าปฏิบัติถอยออกมาข้างนอก ก็กายวาจาบริสุทธิ์ ว่ากันเจตนาบริสุทธิ์ไปอีกกว้างๆ     เป็นปริยัติไป   ถ้าปฏิบัติต้องเดินให้ตรงเข้าไปข้างใน   นั่นเป็นทางปฏิบัติ   เมื่อเข้าถึงปฏิบัติแล้ว  ก็ปฏิเวธเป็นชั้นๆ เข้าไป

เมื่อเข้าถึงกายมนุษย์หยาบนี้  เข้าไปในทางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด พอถึงกายมนุษย์ละเอียด  ก็เป็นตัวปฏิเวธอยู่แล้ว เห็นกายมนุษย์ละเอียดเข้าแล้ว นั่นเป็นตัวปฏิเวธอยู่แล้วตามส่วน  เข้าไปในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด  จนกระทั่งถึงกายทิพย์ก็เป็นปฏิเวธอยู่แล้ว เห็นกายทิพย์เข้าแล้ว  เห็นกายทิพย์ละเอียดก็เป็นปฏิเวธ   เห็นกายรูปพรหมก็เป็นปฏิเวธ เห็นกายอรูปพรหมก็เป็นปฏิเวธ เห็นกายอรูปพรหมละเอียดก็เป็นปฏิเวธเป็นชั้นๆ เข้าไป เข้าถึงกายธรรม เข้าถึงกายธรรมก็เป็นปฏิเวธ  เข้าถึงกายธรรมละเอียดก็เป็นปฏิเวธ  แบบเดียวกันนั่นแหละ  จะปฏิบัติไปอย่างไรก็ว่าไปเถอะปริยัติ  เมื่อเข้าถึงปฏิบัติแล้ว ก็เข้าถึงปฏิเวธ เป็นลำดับไป  เข้าถึงโสดา-โสดาละเอียด สกทาคา-สกทาคาละเอียด  อนาคา-อนาคาละเอียด  อรหัต-อรหัตละเอียด เป็นลำดับไป ไม่เคลื่อนละ ไม่เคลื่อนหลัก เอาหลักมาปรับดูเถอะ  ปริยัติเอามาปรับดูเถอะ  แต่ว่าผู้เรียนปริยัติ ผู้เรียนบาลีท่านไม่เห็น ท่านก็เรียนตามศัพท์ของท่านไป  เมื่อท่านเห็นท่านก็เรียนตามความเห็นของท่าน นี่เรื่องนี้สำคัญ

เพราะเหตุนั้น การปฏิบัติศาสนาหรือนับถือศาสนา ถ้าว่าศึกษาไม่ได้หลักพระพุทธศาสนาแล้ว  จะนับถือไปสัก 50 ปีก็เอาเรื่องไม่ได้  ถ้าได้หลักแล้ว จึงจะเอาเรื่องได้  เพราะฉะนั้น วัดปากน้ำได้หลักแล้ว   ต่อไปหมดประเทศไทย จะต้องถือเอาวัดปากน้ำนี้เป็นหลักทางปฏิบัติ  ในทางปฏิบัติ ปฏิเวธ ส่วนปริยัติน่ะไม่ต้องเอาวัดปากน้ำ วัดปากน้ำต้องไปเอาเขามาอีก  เอามาจากตำรับตำราที่เขาตั้งไว้เป็นหลักสูตรในประเทศไทย  ถึงกระนั้นปริยัติวัดปากน้ำ  ก็ไม่แพ้ฝั่งพระนคร ชนะฝั่งพระนครหลายวัด  เหลือไม่กี่วัดที่จะล่วงล้ำไป แต่ส่วนปฏิบัตินั้น ชนะหมดทั้งประเทศไทย  วัดใดวัดหนึ่งสู้ไม่ได้  เพราะวัดใดวัดหนึ่งสั่งสมพวกมีธรรมกายมาก ไม่ได้เหมือนวัดปากน้ำ วัดปากน้ำสั่งสมมากเวลานี้ ขนาด 100  ขาดเกินไม่มาก  ทั้งอุบาสก อุบาสิกา พระเณร 100 ขาดเกินไม่มาก หรือจะกว่าก็ไม่รู้   แต่ว่ายังไม่ได้สำรวจถี่ถ้วน  แล้วจะ สำรวจให้ดูว่ามีเท่าใด มากอยู่แล้วพวกที่ปฏิบัติใช้ได้ทีเดียว ที่ใช้ไม่ได้อย่างสูงนั้น  ผู้เทศน์ต้องคอยคุม   ถ้าไม่คุมละก้อ ไปสูงไม่ได้  มารมันปัดลงต่ำเสีย  มันแนะนำให้วางเป้าหมายใจดำเสีย ไม่จรดอยู่ที่เป้าหมายใจดำ  ที่ผู้เทศน์คอยคุมไว้ละก้อ  ถูกเป้าหมายใจดำ 


 ตรงกันข้ามกับพวกพญามาร  ถ้าว่าไม่คุมไว้แล้ว  เป็นลูกศิษย์พญามารเสียแล้ว  มารเอาไปใช้เสียแล้วอย่างนี้มาก เหตุนั้นเมื่อมาพบของจริงเช่นนี้แล้ว  ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ควรปล่อยชีวิต  ค้นเอาของจริง   รักษาของจริงไว้ให้ได้   เมื่อได้แล้วละก็  จะยิ้มในใจของตัวอยู่เสมอไป   ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ  เห็นว่าพระพุทธศาสนานี่เป็นนิยานิกธรรมจริง  นำสัตว์ออกมาจากทุกข์  ได้จริงในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว   เมื่อรู้จักหลักอันนี้นี่แหละ  ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ  ธรรมย่อมรักษาผู้ที่ประพฤติธรรม  ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมนั่นแหละ สั่งสมไว้ดีแล้ว  นำความสุขมาให้แท้ๆ

เหตุนี้แหละที่ได้ชี้แจงแสดงมาแล้วนี้   เพื่อเป็นปฏิการสนองประคองศรัทธา ประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดาสโมสรในสถาน ที่นี้ถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา  เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัจที่อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้   สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดี จงบังเกิดแด่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า   อาตมภาพชี้แจงแสดงมา พอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมมีกถาโดยอรรถนิยมความแต่เพียงเท่านี้    เอวํ ก็มีด้วย ประการฉะนี้.


ที่มา : dhammakaya
Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: