วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ "เขียนถึงแอดมินเพจหลับยาวยาวไปเถิดชาวพุทธอะไรนี่หน่อยนะ"


พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระวัดสร้อยทอง เขียนถึงแอดมินเพจหลับยาวยาวไปเถิดชาวพุทธอะไรนี่หน่อยนะ

เรามีประเด็นที่จะต้องโต้แย้งกัน จากบทความซึ่งเขาได้เขียนถึงอาตมา เริ่มต้นของบทความ เขาเขียนในลักษณะว่า อย่าคิดเองเออเอง เอาถูกใจมากกว่าถูกธรรม จากนั้นก็ยกพระสูตร สูตรหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงโทษของการแสดงมหรสพ อ้างเรื่องนรก ราวกับว่ามหรสพและศิลปะการแสดงเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากมากในทัศนะของพุทธศาสนา

เอาแค่ประเด็นนี้ก่อน คำถามอย่างแรกคือ คนอย่างแอดมินเพจนี้ ที่กล้ายกพระสูตร ที่พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องของศิลปะการแสดงนี้มาอ้าง คุณพูดถึงเรื่องนี้ ภายใต้หลักการความเป็นจริง ซึ่งอิงอยู่กับอะไรบ้างครับ อิงกับบริบทที่เป็นจริงของพุทธศาสนาในเมืองไทยหรือเปล่า อิงอยู่กับวัฒนธรรมประเพณีชาวพุทธในสังคมไทย ที่รักษาพุทธศาสนามาจนถึงทุกวันนี้หรือเปล่า หรือไม่ได้อิงอยู่กับอะไรเลย นอกจากตัวบทของคัมภีร์ที่ยกขึ้นมาอ้างเท่านั้น

การอธิบายอะไรในลักษณะที่อ้างคัมภีร์ โดยปราศจากการเคารพต่อข้อเท็จจริงซึ่งอยู่ตรงหน้าต่างหาก ที่เป็นปัญหา และเป็นอันตราย เพราะมันจะทำให้คุณเที่ยวไปตัดสินคนอื่น อย่างปราศจากจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ มันก็ไม่ต่างจากที่ก่อนหน้านี้ มีป้าคนหนึ่งกับพระรูปหนึ่งออกมาตำหนิพระซึ่งช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมเลยครับ นี่ตรรกะเดียวกันเลย เพราะคนพวกนี้หลับหูหลับตาอ้างคัมภีร์ โดยไม่พยายามแม้แต่จะทำความเข้าใจบริบทรอบข้างอื่นอื่น

ประเด็นที่เราต้องจับให้ชัด คือถ้าคนอย่างแอดมินเพจหลับยาวยาวไปเถิิดชาวพุทธ (ขอเรียกชื่อนี้นะ ชอบ 555) เริ่มต้นการโต้แย้งอาตมา ด้วยทัศนะที่ตั้งข้อรังเกียจต่อศิลปะการแสดง และเห็นว่าพระไม่ควรสนับสนุนเรื่องมหรสพ โดยอ้างว่า พระสูตรว่าเช่นนั้น สิ่งที่คนอย่างแอดมินเพจนี้ ควรจะต้องพูดหรือตั้งคำถาม ในฐานะของคนที่เคารพต่อหลักการในคัมภีร์ นั่นก็คือว่า พระสงฆ์และวัด (เข้าใจว่าน่าจะมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอยู่ในเมืองไทย) ซึ่งให้การสนับสนุนศิลปะการแสดง และจัดให้มีมหรสพขึ้นในเขตพุทธสถานนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่

นี่เป็นเรื่องลำดับต้นต้นเลย ของการมองปัญหาให้ถูกจุดและจัดลำดับความสำคัญของวิธีการคิดให้ถูกต้อง เพราะอะไร นั่นเพราะว่า มหรสพและการแสดงบางอย่าง เช่น ลิเก หรือแม้แต่ หมอลำ ที่ยังคงอยู่ได้ทุกวันนี้ นั่นก็เพราะว่า วัดและพระสงฆ์ให้การอุปถัมภ์ด้วยการว่าจ้าง ให้ทำการแสดง จะโดยเห็นว่า เป็นการช่วยรักษาวัฒนธรรมของชาติเอาไว้หรืออะไรก็ตามแต่

คือพูดแบบซีเรียส ถ้าคุณจะมีปัญหากับเรื่องนี้แบบจริงจัง คุณต้องตั้งคำถามต่อวิถีปฎิบัติหรือจารีตค่านิยมของสังคมชาวพุทธในเมืองไทยตั้งคำถามต่อวัด ตั้งคำถามต่อพระ ไม่ใช่ไปตั้งคำถามต่อนักแสดงหรือคนที่เขาทำงานด้านนี้ นี่จึงจะเป็นครั้งที่สองที่อาตมาจะบอกว่า คุณเป็นพวกอีเดียด หรือโดยที่สุด ต้องตั้งคำถามแม้ต่อพระสูตรที่คุณไปยกมา ว่ามันสามารถนำมาจับกับสภาพความเป็นพุทธของคนในสังคมนี้ได้มากน้อยแค่ไหน เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมอย่างไร

ข้อเขียนข้างล่างลงไปจากนี้ของแอดมินเพจนี้ สรุปอย่างเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่ คือ ใช้วิธีคิดแบบคนหลับหูหลับตาปกป้องศาสนา โดยไม่เปิดใจยอมรับ หรืออาจจะรับไม่ได้เลย หากจะมีใครสักคนหนึ่งหยิบเรื่องราวในพุทธศาสนา เรื่องของพระของเณรขึ้นมาพูด หรือสะท้อนในลักษณะที่ไม่ได้ยกย่องเชิดชู ไม่เปิดใจยอมรับ นี่ยังไม่แย่เท่ากับมองเขาด้วยท่าทีที่อคติไปเลย เช่น ยกพระสูตรขึ้นอ้าง เพื่อเหยียดคนทำงานด้านการแสดง หรือมองว่า คนพวกนี้เป็นพวกทำลายศาสนา

วิธีคิดแบบคนหลับหูหลับตาปกป้องศาสนาอีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในข้อเขียนของแอดมินเพจนี้ นั่นก็คือว่า เขาพูดถึงพระซึ่งใช้ความตลกในสอนคนอื่น ด้วยท่าที่ที่พยายามทำความเข้าใจ ซึ่งผิดกับเวลาที่เขามองพวกนักแสดง โดยใช้คำว่า อย่างน้อยท่านก็ให้ธรรมะ นี่เป็นวิธีคิดที่คับแคบมาก

ที่จริงการแสดงหรือการถ่ายทอดเรื่องราวมุมมองในสังคม หากเขาจงใจที่จะยกเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นมาพูดหรือล้อเลียน แน่นอนว่าในอีกมุมหนึ่งเขาย่อมจะต้องใส่แง่คิดหรือให้คติกับคนที่ได้รับฟังหรือรับชมอยู่แล้ว เหมือนเราดูหนังหลวงพี่เท่ง หลวงพี่แจ๊ส ถามว่า ถึงหนังจะมีบางฉากบางตอนที่พระตลกปกฮา แต่โดยภาพรวมทั้งหมด หนังให้แง่คิดและมุมมมองหรือเปล่า ก็ให้ เรื่องอาบัตินี่เห็นได้ชัดเลย

และความตลกเฮฮาของพระ ไม่ว่าจะในหนังหรือในการแสดงพื้นบ้าน เราต้องยอมรับว่า นี่ก็เป็นการสะท้อนภาพของพระในแบบที่ชาวบ้านเขาเห็นอย่างหนึ่ง

ชาวบ้านที่เขาอยู่กับพระ อยู่กับวัดมาตั้งแต่เกิดจนตาย เขาไม่ได้โง่นะครับ ถึงเขาจะไม่รู้ว่า พระในความเป็นจริงไม่ได้เป็นพระในแบบที่นิ่งเงียบสงบหรือสำรวมกิริยาอการตลอด ๒๔ ชั่วโมง พระที่อยู่กับชาวบ้านกับชุมชน บางครั้งก็มีทั้งความทะลึ่งทะเล้น พูดจากำกวม ลามกจกเปรต ชาวบ้านเขาเห็นเป็นปกติเลยครับ นอกเสียจากว่าคุณจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ แล้วตะแบงสร้างแต่ภาพลักษณ์ที่ดีของพระซึ่งขัดกับความจริงต่อไป แล้วถามว่า การหยิบยกเรื่องพวกนี้มาล้อเลียน ทำให้คนเสื่อมศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาหรือเปล่า อาตมาตอบอย่างมั่นใจเลยว่า ไม่มีส่วนเลย และเอาเข้าจริงแล้ว ชาวบ้านเสียเองต่างหาก ที่มีความเข้าใจและวิจารณญาณในการแยกแยะได้ดีกว่าคนในสังคมชนชั้นกลาง หรือแม้แต่แอดมินเพจนี้เสียอีก

ประเด็นสุดท้ายที่ต้องพูดก็คือว่า การที่แอดมินเพจหลับยาวยาวไปเถิดชาวพุทธ มีทัศนะที่เห็นว่า การล้อเลียนศาสนาเป็นการทำลายศาสนาอย่างยิ่ง นี่เป็นอะไรที่ตลกมาก ขอหัวเราะก่อน (55555) คือคนที่จะพูดอะไรแบบนี้ ต้องเป็นคนที่ ๑.ไม่ได้เคารพข้อเท็จจริงอะไรเลย ๒. มองโลกในแง่ร้ายสุดสุด ๓. มีวิธีคิดที่คับแคบ โดยไม่ได้มีความเข้าใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะการแสดงกับศาสนาอย่างดีพอ

สิ่งที่เราควรจะต้องยอมรับกันได้แล้ว ก็คือว่า ศาสนาที่อยู่ได้ทุกวันนี้ และอยู่อย่างมีคุณค่าต่อคนในสังคมด้วยนะครับ (นี่อันหลังต้องย้ำเยอะหน่อย เพราะอาตมาอยากให้พุทธศาสนาเราอยู่ได้อย่างศาสนาที่มีคุณค่ากับคนยุคใหม่จริงจริง) คือศาสนาที่ผ่านการพิสูจน์ การเย้ยยัน การล้อเลียน หรือแม้แต่การตรวจสอบวิจารณ์ จากคนในสังคมมาแล้ว การล้อเลียน มันไม่ได้มีผลต่อความศรัทธาในศาสนาของคนเลยครับ

โป๊ปก็ดี ทะไลลามะก็ดี หรือแม้แต่ควีนอังกฤษ นี่ถูกเขียนการ์ตูนล้อเลียนตลอดเลยครับ แล้วก็ไม่เห็นว่าคนจะเสื่อมศรัทธาต่อคนพวกนี้เลย กลับกันยังเห็นใจและเคารพรักท่านเหล่านี้มากขึ้น ในฐานะที่ท่านยอมทนต่อการเสียดสีล้อเลียนจากสังคม ผมจะบอกอะไรให้นะครับ คนซึ่งอยู่ในศาสนาเอง อย่างนักบวชหรือหมอสอนศาสนา ที่ทำตัวแย่แย่ สร้างภาพลักษณ์แย่แย่ ให้คนต้องล้อเลียนหรือเบื่อหน่ายที่จะให้ความเคารพศรัทธา นี่ต่างหาก นี่คือความล่มจมของศาสนา

ดังนั้นขอเถอะฮะ ช่วยจัดระบบวิธีการคิดเสียใหม่ จัดลำดับความสำคัญของปัญหา ให้มันถูกจุดถูกที่ แล้วเลิกเปรียเทียบศาสนาอื่น เลิกโยงศาสนาอื่นเข้าสู่ความขัดแย้งเสียที (อันนี้สังเกตจากคอมเม้นต์ของบางคน) ทำไมครับ เรารู้ว่าวิธีการปกป้องศาสนาในรูปแบบของศาสนาอื่น อย่างการใช้กฎหมาย ใช้กำลัง ซึ่งมันอาจทำให้ไม่มีใครกล้าแตะต้อง หรือล้อเลียน แต่มันโคตรจะเฮงซวย และไม่สมเหตุสมผลของความเป็นศาสนา แล้วเราควรจะทำตามหรอครับ พุทธเจ้าสอนให้เราเอาแบบคนอื่นหรอครับบบ

อ้อ แล้วเวลาจะโต้แย้งกับใคร หรือไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดของใคร อย่าไปกล่าวหาเขาว่าอยากเด่นอยากดังอะไรแบบนี้นะครับ มันบ่องตื้นไป วิธีเขียนแบบนี้ เด็กเด็กเขาใช้กัน



ที่มา : ไพรวัลย์ วรรณบุตร


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: